×
New!

Bayan Al Islam Encyclopedia Mobile Application

Get it now!

ใครเป็นผู้สร้างจักรวาลนี้มา? ใครเป็นผู้สร้างฉัน? และสร้างมาทำไม? (ไทย)

สร้างโดย:

ใครเป็นผู้สร้างจักรวาลนี้มา? ใครเป็นผู้สร้างฉัน? และสร้างมาทำไม?

ฉันอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่?

ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งถูกสร้างที่ยิ่งใหญ่โตที่มีอยู่ในทั้งสองที่นี้ ที่ไม่สามารถจะรอบรู้ถึงมันได้?

ใครเป็นผู้วางระบบที่ละเอียดและรัดกุมในการบริหารชั้นฟ้าและแผ่นดิน?

ใครเป็นผู้สร้างมนุษย์ ให้การได้ยิน การมองเห็นและสติปัญญา และทำให้มีความสามารถในการรับความรู้และความเข้าใจถึงข้อเท็จจริง?

ใครเป็นผู้ออกแบบสร้างสิ่งที่ละเอียดอ่อนซ่อนเร้นนี้ในส่วนต่างๆของร่างกายเจ้า และทรงทำให้เจ้าเป็นรูปร่าง และทรงทำให้รูปร่างของเจ้าสวยงามยิ่ง?

ลองพิจารณาถึงการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนความแตกต่างและความหลากหลายของมัน ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาด้วยรูปแบบที่ไม่จำกัด?

จักรวาลที่ยิ่งใหญ่นี้ได้รับการจัดระเบียบและมั่นคงด้วยกฎระเบียบของมันที่คอยควบคุมมันอย่างรัดกุมและแม่นยำ ตลอดที่ผ่านมาได้อย่างไร?

ใครเป็นผู้กำหนดระบบต่างๆ ที่คอยควบคุมโลกนี้ (ไม่ว่าจะเป็นการมีชีวิตและความตาย การสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต การเกิดกลางวันและกลางคืน การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล และอื่นๆ)?

จักรวาลนี้สร้างตัวของมันขึ้นมาเองเหรอ? หรือมันเกิดมาจากความว่างเปล่า? หรือเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ? อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿أَمْ خُلِقُوا مِنْ غَيْرِ شَيْءٍ أَمْ هُمُ الْخَالِقُونَ (٣٥)أَمْ خَلَقُوا السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ بَلْ لَا يُوقِنُونَ﴾"หรือว่าพวกเขาถูกบังเกิดมาโดยไม่มีผู้ให้บังเกิด หรือว่าพวกเขาเป็นผู้ให้บังเกิดตนเอง (35)หรือว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน เปล่าเลย เพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นต่างหาก"[ซูเราะฮ์ อัฏฏูร : 35-36].

ดังนั้น หากเราไม่ได้สร้างตัวเราเองและเป็นไปไม่ได้ที่เราจะกำเนิดมาจากความว่างเปล่าหรือเกิดมาโดยบังเอิญ ดังนั้น ความจริงที่ไม่มีความสงสัยใดๆ เลยนั้น คือจักรวาลนี้ต้องมีผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่และทรงสามารถ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จักรวาลนี้จะสร้างตัวเองขึ้นมา! หรือเกิดมาจากความว่างเปล่า! หรือเกิดมาโดยบังเอิญ!

ทำไมคนถึงเชื่อในการมีอยู่ของสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็น? เช่น (การรับรู้ สติปัญญา จิตวิญญาณ ความรู้สึก และความรัก) เป็นเพราะเขาได้เห็นผลของมันไม่ใช่หรือ? แล้วมนุษย์จะปฏิเสธการดำรงอยู่ของผู้สร้างจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาเห็นผลแห่งการสร้าง การกระทำของพระองค์ และความเมตตาของพระองค์!

ไม่มีคนที่มีสติคนใดที่จะยอมรับต่อคำพูดที่ว่า: บ้านหลังนี้มาโดยไม่มีใครสร้าง! หรือมีคนพูดกับเขาว่า: แท้จริง ความว่างเปล่าเป็นสิ่งที่สร้างบ้านหลังนี้! แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่บางคนเชื่อในคำพูดที่ว่า: จักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นมาโดยไม่มีผู้สร้าง? เป็นไปได้อย่างไรผู้มีสติปัญญาจะยอมรับกับคำกล่าวที่ว่า: แท้จริง ระบบของจักรวาลที่รัดกุมนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ?

ทั้งหมดนี้นำเราไปสู่ข้อสรุปเดียว คือ จักรวาลนี้มีพระผู้อภิบาลผู้ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจผู้ทรงปกครองมัน และมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ควรแก่การเคารพสักการะ และทุกสิ่งที่ได้รับการบูชานอกเหนือจากพระองค์นั้น การสักการะของเขานั้นเป็นโมฆะ และสิ่งนั้นไม่สมควรได้รับการสักการะ

พระเจ้า คือผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่

มีพระเจ้าผู้สร้างองค์เดียวเท่านั้น พระองค์คือ ผู้ทรงเป็นเจ้าของ ผู้ปกครอง ผู้ให้ปัจจัยยังชีพ ผู้ทรงให้ชีวิตและให้ตาย พระองค์คือผู้ทรงสร้างแผ่นดิน และทรงทำให้เกิดความสะดวก และทรงทำให้มันเกิดความเหมาะสมแก่ทุกสิ่ง พระองค์คือผู้ทรงสร้างท้องฟ้าทั้งหลายและทุกสิ่งที่มีในนั้นที่ยิ่งใหญ่ และทรงทรงสร้างระบบควบคุมที่รัดกุมสำหรับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กลางคืนและกลางวัน เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์

และพระองค์คือผู้ทรงประทานอากาศให้แก่เราซึ่งเป็นสิ่งที่ชีวิตเราขาดมันไม่ได้ พระองค์คือผู้ทรงประทานฝนลงมาให้แก่เรา และทรงทำให้ทะเลและแม่น้ำได้เกิดความสะดวกแก่เรา พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงดูเราและรักษาเรา ขณะที่เราเป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดาของเรา ซึ่งเราไม่มีกำลังแม้แต่น้อย พระองค์คือผู้ที่ทำให้เลือดได้หมุนเวียนในสายเลือดของเราตั้งแต่เราเกิดจนตาย

พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ คือ อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา

อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า :﴿إِنَّ رَبَّكُمُ اللَّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ يُغْشِي اللَّيْلَ النَّهَارَ يَطْلُبُهُ حَثِيثًا وَالشَّمْسَ وَالْقَمَرَ وَالنُّجُومَ مُسَخَّرَاتٍ بِأَمْرِهِ أَلَا لَهُ الْخَلْقُ وَالْأَمْرُ تَبَارَكَ اللَّهُ رَبُّ الْعَالَمِينَ﴾"แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้น คือ อัลลออฮ์ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินภายในหกวัน แล้วสถิตอยู่เหนือบัลลังก์ พระองค์ทรงให้กลางคืนครอบคลุมกลางวันในสภาพที่กลางคืนไล่ตามกลางวันโดยรวดเร็ว และทรงสร้างดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ และบรรดาดวงดาวขึ้นโดยถูกกำหนดให้ทำหน้าที่บริการ ตามพระบัญชาของพระองค์ พึงรู้เถิดว่า การสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น มหาบริสุทธิ์แห่งอัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก"[ซูเราะฮ์ อัลอะอ์รอฟ : 54]

อัลลอฮ์ คือพระผู้ทรงอภิบาล ผู้ทรงสร้างทุกสิ่งที่มีในจักรวาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราเห็นหรือเราไม่เห็นก็ตาม และทุกสิ่งนอกเหนือจากพระองค์ล้วนเป็นสิ่งถูกสร้างโดยพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์คือผู้ที่ควรแก่การเคารพสักการะเพียงผู้เดียว และจะไม่มีการสักการะต่อสิ่งใดพร้อมกับพระองค์ นอกจากต่อพระองค์เท่านั้น ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ ไม่ว่าในด้านการครอบครอง การสร้าง การบริหารและการเคารพสักการะ

และหากเราตั้งสมมติฐานขึ้นมาว่า มีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮ์ ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับจักรวาลนี้อย่างแน่นอน เพราะไม่เหมาะที่จักรวาลนี้จะถูกบริหารจัดการโดยพระเจ้าสององค์ในเวลาเดียวกัน อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:{لَوْ كَانَ فِيهِمَا آلِهَةٌ إِلَّا اللَّهُ لَفَسَدَتَا}"หากในชั้นฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าหลายองค์ นอกจากอัลลอฮ์แล้ว ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างแน่นอน"(ซูเราะฮ์ อัลอัมบิยาอ์ : 22)

คุณลักษณะของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง

อัลลอฮ์พระผู้ทรงอภิบาล ผู้ทรงบริสุทธิ์ พระองค์ทรงมีพระนามที่สวยงามมากมายไม่สามารถคำนวณนับได้ และพระองค์ทรงมีคุณลักษณะที่สูงส่งอย่างมากมายและยิ่งใหญ่ที่บ่งบอกถึงความสมบูรณ์แบบของพระองค์ และในบรรดาพระนามของพระองค์นั้น คือ "ผู้สร้าง" (อัลคอลิก) และ คำว่า "อัลลอฮ์" นั้น หมายถึง: ผู้ที่ได้รับการเคารพสักการะ ที่สมควรแก่การสักการะแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ พระผู้ทรงมีชีวิต(อัลหัยย์) ผู้ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง(อัลกอยยูม) ผู้ทรงเมตตา(อัลเราะฮีม) ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ(อัลรอซซาก) ผู้ทรงเกื้อกูล(อัลกะรีม)

อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน ว่า:﴿اللَّهُ لا إِلَهَ إِلَّا هُوَ الْحَيُّ الْقَيُّومُ لا تَأْخُذُهُ سِنَةٌ وَلا نَوْمٌ لَهُ مَا فِي السَّمَوَاتِ وَمَا فِي الأَرْضِ مَنْ ذَا الَّذِي يَشْفَعُ عِنْدَهُ إِلَّا بِإِذْنِهِ يَعْلَمُ مَا بَيْنَ أَيْدِيهِمْ وَمَا خَلْفَهُمْ وَلا يُحِيطُونَ بِشَيْءٍ مِنْ عِلْمِهِ إِلَّا بِمَا شَاءَ وَسِعَ كُرْسِيُّهُ السَّمَوَاتِ وَالأَرْضَ وَلا يَئُودُهُ حِفْظُهُمَا وَهُوَ الْعَلِيُّ الْعَظِيمُ﴾"อัลลอฮ์ คือไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ผู้ซึ่งการง่วงและการนอนไม่เกิดขึ้นกับพระองค์ ผู้ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ไม่มีใครสามารถอ้อนวอนขอช่วยเหลือให้แก่ผู้อื่นได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพระองค์ ผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา และพวกเขาไม่สามารถที่จะรอบรู้สิ่งใดๆ จากความรู้ของพระองค์ได้ เว้นแต่สิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้น เก้าอี้ของพระองค์นั้นกว้างขวางครอบคลุมชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และไม่เป็นภาระใดๆ ต่อพระองค์ในการดูแลรักษาทั้งสองนั้น และพระองค์คือผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่"[ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ : 255]

และอัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ (١)اللَّهُ الصَّمَدُ (٢)لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ (٣)وَلَمْ يَكُنْ لَهُ كُفُوًا أَحَدٌ﴾"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระองค์คืออัลลอฮ์ผู้ทรงเอกะ(1)อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่ง(2)พระองค์ไม่ประสูติและไม่ทรงถูกประสูติ(3)และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์(4)"[ซูเราะฮ์ อัลอิคลาศ : 1-4]

พระผู้ทรงอภิบาล ผู้เป็นพระเจ้าทึ่ได้รับการสักการะนั้น ทรงมีคุณลักษณะด้วยคุณลักษณะที่สมบูรณ์

คุณลักษณะประการหนึ่งของพระองค์ คือผู้ทรงเป็นที่เคารพสักการะและภักดี และทุกสิ่งอื่นจากพระองค์นั้นล้วนเป็นสิ่งที่พระองค์สร้างมา มีหน้าที่ปฎิบัติตามกฎบัญญัติ อยู่ภายใต้คำบัญชา และภายใต้อำนาจของพระองค์

คุณลักษณะประการหนึ่งของพระองค์ คือพระองค์ทรงมีชีวิตทรงดำรงด้วยพระองค์เอง ดังนั้นทุกสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ อัลลอฮ์คือผู้ที่ให้ชีวิตแก่พวกเขา ทรงสร้างพวกเขาจากความว่างเปล่า พระองค์คือผู้ที่ดูแลพวกเขา ด้วยการสร้างพวกเขา ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา และเป็นที่พึ่งสำหรับพวกเขา ดังนั้นพระเจ้าคือผู้ทรงมีชีวิตและไม่ตาย และเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะพินาศ พระองค์ทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เองและพระองค์ทรงไม่หลับไหล แท้จริงความง่วงและการหลับไหลจะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์

คุณลักษณะประการหนึ่งของพระองค์ คือพระองค์ทรงรอบรู้ ผู้ซึ่งไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนเร้นจากพระองค้ได้ทั้งในแผ่นดินและในฟากฟ้า

คุณลักษณะประการหนึ่งของพระองค์ คือพระองค์ทรงได้ยินและทรงเห็น ทรงได้ยินทุกสิ่ง และทรงเห็นทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้ถึงการกระซิบกระซาบของหัวใจ และทรงรู้ถึงสิ่งที่หัวใจของพวกเขาซ่อนอะไรไว้ และไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนเร้นจากพระองค์ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ ทั้งในแผ่นดินและฟากฟ้า

คุณลักษณะประการหนึ่งของพระองค์ คือพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงสามารถ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์ และไม่มีใครสามารถปฏิเสธความประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และขัดขวางสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ทรงกำหนดให้เกิดขึ้นก่อนและเกิดขึ้นหลัง และพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถที่สมบูรณ์

คุณลักษณะประการหนึ่งของพระองค์ คือพระองค์ทรงเป็นผู้สร้าง ทรงให้ปัจจัยยังชีพ ทรงบริหาร พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งและทรงบริหารมัน และทุกสิ่งล้วนอยู่ในพระหัตถ์และอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์

คุณลักษณะประการหนึ่งของพระองค์ คือพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ทรงบรรเทาทุกข์แก่ผู้ที่เดือดร้อน และบรรเทาความทุกข์ยาก และบ่าวของพระองค์ทุกคนเมื่อตกอยู่ในความทุกข์หรือความลำบาก ก็จะกลับไปหาพระองค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การเคารพสักการะนั้นต้องทำเพื่ออัลลอฮ์เท่านั้น เพราะพระองค์คือผู้ที่สมบูรณ์แบบและควรได้รับการสักการะเพียงผู้เดียวเท่านั้น และทุกสิ่งที่ได้รับการสักการะนอกเหนือจากพระองค์ แท้จริงมันเป็นสิ่งสักการะที่จอมปลอม และมันเป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ ต้องเผชิญกับความตายและการสูญสลาย

อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ประทานสติปัญญาให้แก่เรา เพื่อได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และพระองค์ทรงปลูกฝังธรรมชาติของการรักในความดี เกลียดความชั่ว และรู้สึกสงบเมื่อกลับไปหาอัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลก และธรรมชาตินี้ แสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบของพระองค์ และเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะมีคุณลักษณะที่ไม่สมบูรณ์

มันไม่สมควรที่คนมีสติปัญญาจะทำการเคารพสักการะต่อสิ่งอื่นใดนอกจากต่อสิ่งที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น ดังนั้นเขาจะเคารพสักการะต่อสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบเช่นเขาหรือต่ำกว่าเขาได้อย่างไร!

สิ่งที่ได้รับการเคารพสักการะนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นมนุษย์ รูปเคารพ ต้นไม้ หรือสัตว์!

อัลลอฮ์อยู่เหนือฟากฟ้า สถิตอยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์ ทรงแยกออกจากทุกสิ่งที่พระองค์สร้าง ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์สร้างสิงในพระองค์ และไม่มีส่วนใดจากพระองค์สิงในสิ่งที่พระองค์สร้าง ไม่ทรงสิงและไม่เข้าไปในร่างใดๆ ของพระองค์

อัลลอฮ์คือ พระเจ้าซึ่งไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ทรงได้ยินและทรงเห็น และไม่มีใครเทียบเคียงพระองค์ พระองค์ทรงมั่งคั่งสูงส่งไม่จำเป็นต้องพึ่งสิ่งถูกสร้างของพระองค์ พระองค์ไม่นอนและไม่กินอาหาร และพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะมีภรรยาหรือลูก ดังนั้นพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ทรงมีคุณลักษณะแห่งความยิ่งใหญ่ และเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะมีคุณลักษณะที่แสดงถึงความต้องการพึ่งพาอาศัยสิ่งใดๆ หรือลักษณะที่บกพร่อง

อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสว่า :﴿يَا أَيُّهَا النَّاسُ ضُرِبَ مَثَلٌ فَاسْتَمِعُوا لَهُ إِنَّ الَّذِينَ تَدْعُونَ مِنْ دُونِ اللَّهِ لَنْ يَخْلُقُوا ذُبَابًا وَلَوِ اجْتَمَعُوا لَهُ وَإِنْ يَسْلُبْهُمُ الذُّبَابُ شَيْئًا لَا يَسْتَنْقِذُوهُ مِنْهُ ضَعُفَ الطَّالِبُ وَالْمَطْلُوبُ (٧٣)مَا قَدَرُوا اللَّهَ حَقَّ قَدْرِهِ إِنَّ اللَّهَ لَقَوِيٌّ عَزِيزٌ﴾"โอ้มนุษย์ เอ๋ย ! อุทาหรณ์หนึ่งถูกยกมากล่าวไว้แล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงฟังมันให้ดี แท้จริงบรรดาที่พวกเจ้าวิงวอนขอความช่วยเหลืออื่นจากอัลลอฮ์นั้น พวกมันไม่สามารถจะให้บังเกิดแม้แต่แมลงวันสักตัวหนึ่งได้ ถึงแม้ว่าพวกมันจะรวมหัวกันเพื่อการนั้นก็ตาม และถ้าแมลงวันพาสิ่งใดหนีไปจากพวกมัน พวกมันก็ไม่สามารถจะเอามันกลับคืนมาได้จากแมลงวัน ทั้งผู้ขอและผู้ถูกขอ อ่อนแอแท้ๆ (73)พวกเขามิได้ให้เกียรติอัลลอฮ์ ตามที่ควรจะให้เกียรติต่อพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพโดยแท้จริง"[ซูเราะฮ์ อัลฮัจญ์ : 73-74]

ทำไมพระเจ้าผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่พระองค์นี้จึงสร้างเรามา? และพระองค์ทรงต้องการอะไรจากเรา?

เป็นไปได้ไหมที่อัลลอฮ์สร้างทุกสิ่งนี้โดยไม่มีจุดประสงค์ใดๆ? พระองค์ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ทั้งๆ ที่พระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณและทรงรอบรู้กระนั้นหรือ?

เป็นไปได้ไหมที่ผู้สร้างเราด้วยความแม่นยำและรัดกุมเช่นนั้น และทำให้ทุกสิ่งทั้งในชั้นฟ้าและแผ่นดินเกิดความสะดวกแก่เรา แล้วพระองค์จะสร้างเราโดยไม่มีจุดประสงค์ หรือทรงทิ้งเราไว้โดยไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่สำคัญที่สุดที่กำลังครอบงำเรา เช่น ทำไมเราจึงอยู่ที่นี่? และมีอะไรบ้างหลังความตาย? และอะไรคือจุดประสงค์จากการสร้างเราขึ้นมา?

เป็นไปได้ไหมที่จะไม่มีการลงโทษใดๆ ต่อผู้อธรรม และไม่มีการตอบแทนใดๆ แก่ผู้ที่ทำความดี?

อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿أَفَحَسِبْتُمْ أَنَّمَا خَلَقْنَاكُمْ عَبَثًا وَأَنَّكُمْ إِلَيْنَا لَا تُرْجَعُونَ﴾"พวกเจ้าคิดว่า แท้จริงเราได้ให้พวกเจ้าบังเกิดมาโดยไร้ประโยชน์ และแท้จริงพวกเจ้าจะไม่กลับไปหาเรากระนั้นหรือ?"[ซูเราะฮ์ อัลมุอ์มินูน : 115 ]

แท้จริง อัลลอฮ์ได้ส่งบรรดาเราะซูลมาเพื่อให้เรารู้ถึงจุดประสงค์การกำเนิดเรา ชี้นำเราถึงวิธีการเคารพสักการะและการใกล้ชิดพระองค์ และอะไรคือสิ่งที่พระองค์ต้องการจากเรา บอกถึงวิธีการที่จะได้มาซึ่งความพึงพอพระทัยจากพระองค์ และบอกแก่เราถึงจุดหมายสุดท้ายของเราหลังจากความตายได้เกิดขึ้น?

อัลลอฮ์ทรงส่งบรรดาเราะซูลมาบอกเราว่า อัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ควรได้รับการสักการะ และสอนเราถึงวิธีการเคารพสักการะพระองค์ และบอกเราเกี่ยวกับคำสั่ง และข้อห้ามของพระองค์ และสอนเราถึงคุณค่าอันสูงส่งที่จะทำให้ชีวิตเราเต็มไปด้วยความสุขความจำเริญหากเราได้ยึดมั่นปฏิบัติต่อคำสั่งและข้อห้ามของพระองค์

และอัลลอฮ์ทรงส่งบรรดาเราะซูลมามากมาย เช่น: (นูห์ อิบรอฮีม มูซา และอีซา) และทรงสนับสนุนพวกเขาด้วยโองการและสิ่งอัศจรรย์ที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของพวกเขา และแสดงให้เห็นว่าพวกเขาถูกส่งมาโดยพระองค์อย่างแท้จริง และคนสุดท้ายคือนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

และบรรดาเราะซูลได้บอกอย่างชัดเจนแก่เราว่า แท้จริงชีวิตในโลกนี้เป็นเพียงการทดสอบ และชีวิตที่แท้จริงจะเกิดขึ้นหลังความตาย

และจะมีสวรรค์แก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ทำการเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียวโดยไม่ตั้งภาคีใดๆ กับพระองค์ พวกเขาศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทุกคน และจะมีนรกที่อัลลอฮ์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฎิเสธศรัทธา ซึ่งพวกเขาทำการเคารพสักการะต่อพระเจ้าอื่นพร้อมกับอัลลอฮ์ หรือปฏิเสธศรัทธาต่อเราะซูลท่านใดท่านหนึ่งจากบรรดาเราะซูลของอัลลอฮ์

อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿يَا بَنِي آدَمَ إِمَّا يَأْتِيَنَّكُمْ رُسُلٌ مِنْكُمْ يَقُصُّونَ عَلَيْكُمْ آيَاتِي فَمَنِ اتَّقَى وَأَصْلَحَ فَلَا خَوْفٌ عَلَيْهِمْ وَلَا هُمْ يَحْزَنُونَ (٣٥)وَالَّذِينَ كَذَّبُوا بِآيَاتِنَا وَاسْتَكْبَرُوا عَنْهَا أُولَئِكَ أَصْحَابُ النَّارِ هُمْ فِيهَا خَالِدُونَ﴾"โอ้ ลูกหลานอาดัมเอ๋ย ถ้ามีบรรดาเราะซูลในหมู่พวกเจ้ามายังพวกเจ้าโดยบอกเล่าโองการของข้าแก่พวกเจ้าแล้ว ผู้ใดที่ยำเกรงและปรับปรุงแก้ไขแล้ว ก็ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ เกิดขึ้นแก่พวกเขา และพวกเขาก็จะไม่เสียใจ (35)และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการของเราและโอ้อวดต่อโองการเหล่านั้น ชนเหล่านั้นคือชาวนรก พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล"[ซูเราะฮ์ อัลอะอ์รอฟ : 35-36]

อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสว่า:﴿يَا أَيُّهَا النَّاسُ اعْبُدُوا رَبَّكُمُ الَّذِي خَلَقَكُمْ وَالَّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ (٢١)الَّذِي جَعَلَ لَكُمُ الْأَرْضَ فِرَاشًا وَالسَّمَاءَ بِنَاءً وَأَنْزَلَ مِنَ السَّمَاءِ مَاءً فَأَخْرَجَ بِهِ مِنَ الثَّمَرَاتِ رِزْقًا لَكُمْ فَلَا تَجْعَلُوا لِلَّهِ أَنْدَادًا وَأَنْتُمْ تَعْلَمُونَ (٢٢)وَإِنْ كُنْتُمْ فِي رَيْبٍ مِمَّا نَزَّلْنَا عَلَى عَبْدِنَا فَأْتُوا بِسُورَةٍ مِنْ مِثْلِهِ وَادْعُوا شُهَدَاءَكُمْ مِنْ دُونِ اللَّهِ إِنْ كُنْتُمْ صَادِقِينَ (٢٣)فَإِنْ لَمْ تَفْعَلُوا وَلَنْ تَفْعَلُوا فَاتَّقُوا النَّارَ الَّتِي وَقُودُهَا النَّاسُ وَالْحِجَارَةُ أُعِدَّتْ لِلْكَافِرِينَ (٢٤)وَبَشِّرِ الَّذِينَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ أَنَّ لَهُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي مِنْ تَحْتِهَا الْأَنْهَارُ كُلَّمَا رُزِقُوا مِنْهَا مِنْ ثَمَرَةٍ رِزْقًا قَالُوا هَذَا الَّذِي رُزِقْنَا مِنْ قَبْلُ وَأُتُوا بِهِ مُتَشَابِهًا وَلَهُمْ فِيهَا أَزْوَاجٌ مُطَهَّرَةٌ وَهُمْ فِيهَا خَالِدُونَ﴾"โอ้ มนุษย์เอ๋ย! จงเคารพอิบาดะฮ์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าที่ทรงบังเกิดพวกเจ้า และบรรดาผู้ที่มาก่อนพวกเจ้าเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง (21)คือผู้ทรงให้แผ่นดินเป็นที่นอน และฟ้าเป็นอาคารแก่พวกเจ้า และทรงให้น้ำหลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วได้ทรงให้บรรดาผลไม้ออกมา เนื่องด้วยน้ำนั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากำหนดสิ่งใดเท่าเทียมกับอัลลอฮ์ โดยที่พวกเจ้ารู้ (22)และหากปรากฏว่าพวกเจ้าอยู่ในความแคลงใจใดๆ จากสิ่งที่เราได้ประทานลงมาแก่บ่าวของเราแล้ว ก็จงนำมาสักซูเราะฮ์หนึ่งเยี่ยงสิ่งนั้น และจงเชิญชวนผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ หากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง (23)ดังนั้น หากพวกเจ้ายังมิได้ทำ และแน่นอนพวกเจ้ามิอาจทำมันได้ ก็จงระวังไฟนรก ซึ่งเชื้อเพลิงของมัน คือมนุษย์และหิน โดยที่มันได้ถูกเตรียมไว้ สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา (24)และ (โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย) จงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาและได้กระทำความดีทั้งหลายเถิดว่า แน่นอนสำหรับพวกเขาคือสวนสวรรค์อันมากมาย ซึ่งมีแม่น้ำหลายสาย ไหลอยู่ภายใต้สวนสวรรค์เหล่านั้น คราใดที่พวกเขาได้รับผลไม้จากสวนสวรรค์นั้นเป็นเครื่องยังชีพ พวกเขาก็จะกล่าวว่า นี่คือสิ่งที่เราเคยได้รับเป็นปัจจัยยังชีพมาก่อนแล้ว และสิ่งที่ถูกประทานให้แก่พวกเขานั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกัน และในสวรรค์นั้น พวกเขาจะได้รับคู่ครองที่บริสุทธิ์ และพวกเขาจะพำนักอยู่ในสวรรค์นั้นตลอดกาล"[ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ : 21-25]

ทำไมจึงมีเราะซูลหลายท่าน?

อัลลอฮ์ได้ส่งบรรดาเราะซูลของพระองค์ไปยังกลุ่มชนต่างๆ และไม่มีกลุ่มชนใดนอกจากอัลลอฮ์จะส่งเราะซูลมาหาพวกเขา เพื่อเชิญชวนพวกเขาให้สักการะพระเจ้าของพวกเขา และแจ้งพวกเขาถึงข้อสั่งใช้และข้อห้ามต่างๆ ของพระองค์ และจุดประสงค์ของการเรียกร้องของพวกเขาคือ การเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียว เมื่อใดก็ตามที่กลุ่มชนหนึ่งเริ่มละทิ้งหรือบิดเบือนสิ่งที่เราะซูลนำมา ที่เป็นคำสั่งให้ศรัทธาต่อความเป็นเอกะของอัลลอฮ์แล้ว อัลลอฮ์จะส่งเราะซูลท่านอื่นไปเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง และนำผู้คนกลับสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ นั่นคือการศรัทธาต่อความเป็นเอกะของอัลลอฮ์และเชื่อฟังพระองค์

จนกระทั่งอัลลอฮ์ทรงปิดท้ายบรรดาเราะซูลของพระองค์ด้วยนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ผู้ที่นำศาสนาที่สมบูรณ์และบทบัญญัติอันเป็นนิรันดร์ที่ครอบคลุมสำหรับมนุษย์ทุกคนจนถึงวันกิยามะฮ์ เป็นบทบัญญัติที่ทำให้สมบูรณ์และยกเลิกบทบัญญัติที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ และอัลลอฮ์ทรงรับรองความคงอยู่ต่อไปและความต่อเนื่องของศาสนานี้จนถึงวันกิยามะฮ์

บุคคลจะยังไม่เป็นผู้ศรัทธาจนกว่าเขาจะศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทั้งหมด

อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ส่งบรรดาเราะซูลและสั่งให้บรรดาบ่าวของพระองค์เชื่อฟังพวกเขา ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อความเป็นเราะซูลของท่านหนึ่งท่านใดแล้ว แน่นอนเขาผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลเหล่านั้นทั้งหมด ไม่มีบาปใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าผู้ที่ปฏิเสธโองการของอัลลอฮ์ ดังนั้น จำเป็นสำหรับการเข้าสู่สวรรค์ คือ การที่ต้องศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทั้งหมด

ดังนั้น จำเป็นสำหรับทุกคนในยุคนี้ที่จะต้องศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อบรรดาเราะซูลของอัลลอฮ์ทุกคน และศรัทธาต่อวันอาคิเราะฮ์ และการศรัทธานี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้นอกจากด้วยการศรัทธาและปฏิบัติตามนบีท่านสุดท้าย นั่นคือนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยปาฏิหาริย์อันเป็นนิรันดร์ คือ อัลกุรอาน ซึ่งอัลลอฮ์ทรงรับประกันในการปกป้องรักษาไว้ จนกว่าแผ่นดินและทุกสิ่งในนั้นกลับเป็นของพระองค์(วันสุดท้าย)

อัลลอฮ์ได้กล่าวไว้ในอัลกุรอานว่า ใครก็ตามที่ปฏิเสธศรัทธาต่อท่านหนึ่งท่านใดในบรรดาเราะซูลของพระองค์ ผู้นั้นคือผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อโองการของพระองค์ อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿إِنَّ الَّذِينَ يَكْفُرُونَ بِاللَّهِ وَرُسُلِهِ وَيُرِيدُونَ أَنْ يُفَرِّقُوا بَيْنَ اللَّهِ وَرُسُلِهِ وَيَقُولُونَ نُؤْمِنُ بِبَعْضٍ وَنَكْفُرُ بِبَعْضٍ وَيُرِيدُونَ أَنْ يَتَّخِذُوا بَيْنَ ذَلِكَ سَبِيلًا (١٥٠)أُولَئِكَ هُمُ الْكَافِرُونَ حَقًّا وَأَعْتَدْنَا لِلْكَافِرِينَ عَذَابًا مُهِينًا﴾"แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์ และพวกเขาปรารถนาที่จะแยกระหว่างอัลลอฮ์และบรรดาเราะซูลของพระองค์ และพวกเขากล่าวว่า เราศรัทธาในบางคน และปฏิเสธต่อบางคน และพวกเขาปรารถนาที่จะยึดเอาในระหว่างนั้นซึ่งทางใดทางหนึ่ง (150)ชนเหล่านั้นแหละคือผู้ปฏิเสธศรัทธาโดยแท้จริง และเราได้เตรียมไว้แล้ว ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย"[ซูเราะฮ์ อันนิสาอ์ : 150-151]

เพราะเหตุนี้พวกเราซึ่งเป็นมุสลิม เราจะศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ต่อวันอาคิเราะฮ์ -ตามที่อัลลอฮ์สั่งใช้ให้ศรัทธา- และเราศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทุกคน และต่อบรรดาคัมภีร์ทุกเล่มที่มาก่อนหน้านั้น อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿آمَنَ الرَّسُولُ بِمَا أُنْزِلَ إِلَيْهِ مِنْ رَبِّهِ وَالْمُؤْمِنُونَ كُلٌّ آمَنَ بِاللَّهِ وَمَلَائِكَتِهِ وَكُتُبِهِ وَرُسُلِهِ لَا نُفَرِّقُ بَيْنَ أَحَدٍ مِنْ رُسُلِهِ وَقَالُوا سَمِعْنَا وَأَطَعْنَا غُفْرَانَكَ رَبَّنَا وَإِلَيْكَ الْمَصِيرُ﴾"ศาสนทูตนั้นได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เขาจากพระเจ้าของเขา และบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายก็ศรัทธาด้วย ทุกคนศรัทธาต่ออัลลอฮ์และมลาอิกะฮ์ของพระองค์และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาศาสนทูตของพระองค์ (พวกเขากล่าวว่า) เราจะไม่แยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดาศาสนทูตของพระองค์ และพวกเขากล่าวว่า เราได้ยินแล้วและได้ปฏิบัติตามแล้ว การอภัยโทษจากพระองค์เท่านั้นที่พวกเราปรารถนา โอ้พระเจ้าของพวกเรา และยังพระองค์นั้นคือการกลับไป"[ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ : 285]

คัมภีร์อัลกุรอานคืออะไร?

อัลกุรอานเป็นพระวจนะของอัลลอฮ์ ตะอาลา และเป็นวะห์ยูของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงประทานลงมาแก่มุฮัมมัด ผู้เป็นนบีคนสุดท้ายและเป็นปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่แสดงให้เห็นถึงความถูกต้องของการเป็นนบีของท่าน และคัมภีร์อัลกุรอานเป็นความจริงไม่ว่าในด้านการตัดสินชี้ขาดต่างๆ และเป็นความจริงที่เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ที่มีในนั้นอัลลอฮ์ทรงท้าทายบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโดยให้พวกเขาสร้างซูเราะฮ์หนึ่ง (บทหนึ่ง) ที่คล้ายกับอัลกุรอาน แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้ เนื่องจากความยิ่งใหญ่ของเนื้อหาและความครบถ้วนของเนื้อหาสำหรับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในโลกนี้และวันอาคิเราะฮ์ และในอัลกุรอานได้รวมความจริงแห่งศรัทธาทั้งหมดที่จำเป็นต้องศรัทธานอกจากนี้ยังรวมถึงคำสั่งใช้และข้อห้ามต่างๆ ที่มนุษย์จำเป็นต้องเดินบนเส้นทางนั้นในสิ่งที่เกี่ยวข้องระหว่างเขากับพระเจ้าของเขาระหว่างเขากับตัวเองและระหว่างเขากับสรรพสิ่งทั้งหลาย และทั้งหมดนี้ถูกอธิบายด้วยสำนวนที่สูงส่งในด้านวาทศาสตร์และด้านการใช้คำและในคัมภีรอัลกุรอานนั้นประกอบด้วยหลักฐานทางปัญญาและข้อเท็จจริงต่างๆทางวิชาการที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่สามารถแต่งคัมภีร์เล่มนี้ได้ แต่มันเป็นพระวจนะของพระเจ้าแห่งมนุษยชาติ

ศาสนาอิสลามคืออะไร?

อิสลามคือ การยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา โดยการศรัทธาในความเป็นเอกะของพระองค์ ยอมจำนนต่อพระองค์โดยการเชื่อฟัง ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ด้วยความพอใจและยอมรับ และปฏิเสธทุกสิ่งที่เป็นการเคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮ์

อัลลอฮ์ทรงส่งบรรดาเราะซูลมาด้วยสาส์นเดียวกัน คือการเรียกร้องสู่การเคารพสักการะอัลลอฮ์เพียงผู้เดียวโดยไม่มีการตั้งภาคีใดๆ กับพระองค์ และปฏิเสธต่อทุกสิ่งที่ได้รับการเคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮ์

ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของบรรดาเราะซูลทุกคน การเรียกร้องของพวกเขามีหนึ่งเดียวเหมือนกัน และบัญญัติทางภาคปฏิบัติของพวกเขาแตกต่างกัน และมีเพียงมุสลิมเท่านั้นในปัจจุบันที่ยึดมั่นในศาสนาที่ถูกต้องที่บรรดาเราะซูลทุกคนนำมา และสาส์นแห่งอิสลามเท่านั้นในปัจจุบันคือความจริง และเป็นสาส์นสุดท้ายจากพระผู้สร้างที่มีสำหรับมนุษยชาติพระเจ้าที่ส่งอิบรอฮีม มูซา อีซา อะลัยฮิมุสสลาม คือผู้ที่ส่งเราะซูลคนสุดท้าย คือ นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบทบัญญัติต่างๆ ที่เป็นภาคปฏิบัติของอิสลามได้ยกเลิกบทบัญญัติที่มีอยู่ก่อนหน้านี้

แท้จริงแล้วศาสนาทั้งหมดที่ผู้คนใช้ในการเคารพสักการะกันในปัจจุบัน ยกเว้นศาสนาอิสลาม ล้วนเป็นศาสนาที่มนุษย์สร้างขึ้นมา หรือเคยเป็นศาสนาแห่งพระเจ้าแล้วถูกทำลายด้วยน้ำมือของมนุษย์ จนทำให้ศาสนาเหล่านั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของซากแห่งตำนานที่สืบทอดกันมา และการต่อเติมของมนุษย์

สำหรับศาสนาของมุสลิมนั้น เป็นศาสนาหนึ่งเดียวที่ชัดเจน เป็นศาสนาที่ไม่เปลี่ยนแปลง และการเคารพสักการะของพวกเขาที่พวกเขาได้สักการะต่ออัลลอฮ์นั้นเป็นหนึ่งเดียว พวกเขาละหมาดห้าครั้งต่อวัน พวกเขาจ่ายซะกาตทรัพย์สินของพวกเขา พวกเขาถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และลองพิจารณาดูธรรมนูญชีวิตของพวกเขานั้นคืออัลกุรอาน มันคือคัมภีร์เล่มเดียวกันที่ใช้ในทุกประเทศ อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿ٱلۡيَوۡمَ أَكۡمَلۡتُ لَكُمۡ دِينَكُمۡ وَأَتۡمَمۡتُ عَلَيۡكُمۡ نِعۡمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ ٱلۡإِسۡلَٰمَ دِينٗاۚ فَمَنِ ٱضۡطُرَّ فِي مَخۡمَصَةٍ غَيۡرَ مُتَجَانِفٖ لِّإِثۡمٖ فَإِنَّ ٱللَّهَ غَفُورٞ رَّحِيمٞ﴾"วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว ผู้ใดได้รับความคับขันในความหิวโหย โดยมิใช่เป็นผู้จงใจกระทำบาปแล้วไซร้ แน่นอนอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ"[ซูเราะฮ์ อัลมาอิดะฮ์ : 3]

อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน ว่า:﴿قُلْ آمَنَّا بِاللَّهِ وَمَا أُنْزِلَ عَلَيْنَا وَمَا أُنْزِلَ عَلَى إِبْرَاهِيمَ وَإِسْمَاعِيلَ وَإِسْحَاقَ وَيَعْقُوبَ وَالْأَسْبَاطِ وَمَا أُوتِيَ مُوسَى وَعِيسَى وَالنَّبِيُّونَ مِنْ رَبِّهِمْ لَا نُفَرِّقُ بَيْنَ أَحَدٍ مِنْهُمْ وَنَحْنُ لَهُ مُسْلِمُونَ (٨٤)وَمَنْ يَبْتَغِ غَيْرَ الْإِسْلَامِ دِينًا فَلَنْ يُقْبَلَ مِنْهُ وَهُوَ فِي الْآخِرَةِ مِنَ الْخَاسِرِينَ﴾"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์แล้วและได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานแก่เรา และสิ่งที่ถูกประทานแก่อิบรอฮีมและอิสมาอีล และอิสฮาก และยะอ์กูบและบรรดาผู้สืบเชื้อสาย (จากยะอ์กูบ) และศรัทธาต่อสิ่งที่มูซาและอีซา และนบีทั้งหลายได้รับจากพระเจ้าของพวกเขา โดยที่เราจะไม่แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และพวกเรานั้นเป็นผู้ที่นอบน้อมต่อพระองค์ (84)และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน"[ซูเราะฮ์ อาละอิมรอน: 84-85]

ศาสนาอิสลามเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่ครอบคลุม สอดคล้องกับธรรมชาติของชีวิตและสามัญสำนึก และเป็นที่ยอมรับของจิตวิญญาณปกติ เป็นศาสนาที่บัญญัติโดยพระผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่เพื่อบ่าวของพระองค์ และเป็นศาสนาแห่งความดีและความสุขสำหรับทุกคนในโลกนี้ และชีวิตหลังความตาย เป็นศาสนาที่ไม่ทำให้ชนกลุ่มหนึ่งเหนืออีกกลุ่มหนึ่ง หรือสีผิวหนึ่งเหนืออีกสีผิวหนึ่ง และมนุษย์ทุกคนภายใต้ศาสนานี้มีความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครในศาสนาอิสลามจะโดดเด่นเหนือผู้อื่น ยกเว้นภายใต้กรอบแห่งการกระทำคุณงามความดีของเขา

อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:(مَنۡ عَمِلَ صَٰلِحٗا مِّن ذَكَرٍ أَوۡ أُنثَىٰ وَهُوَ مُؤۡمِنٞ فَلَنُحۡيِيَنَّهُۥ حَيَوٰةٗ طَيِّبَةٗۖ وَلَنَجۡزِيَنَّهُمۡ أَجۡرَهُم بِأَحۡسَنِ مَا كَانُواْ يَعۡمَلُونَ)"ผู้ใดกระทำความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขามีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน และเราจะตอบแทนพวกเขาด้วยรางวัลที่ดียิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้"(ซูเราะฮ์ อันนะห์ลุ : 97)

อิสลามคือแนวทางแห่งความสุข

อิสลามคือศาสนาของบรรดาเราะซูลทุกคน และเป็นศาสนาสำหรับมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ได้เป็นศาสนาที่เฉพาะสำหรับชาวอาหรับเท่านั้น

อิสลามคือแนวทางแห่งความสุขที่แท้จริงในโลกนี้ และความสุขนิรันดร์ในวันอาคิเราะฮ์

อิสลามคือศาสนาเดียวที่ตอบสนองความต้องการของจิตวิญญาณและร่างกาย และแก้ไขทุกปัญหาของมนุษย์ อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿قَالَ اهْبِطَا مِنْهَا جَمِيعًا بَعْضُكُمْ لِبَعْضٍ عَدُوٌّ فَإِمَّا يَأْتِيَنَّكُمْ مِنِّي هُدًى فَمَنِ اتَّبَعَ هُدَايَ فَلا يَضِلُّ وَلا يَشْقَى (123)وَمَنْ أَعْرَضَ عَنْ ذِكْرِي فَإِنَّ لَهُ مَعِيشَةً ضَنْكًا وَنَحْشُرُهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ أَعْمَى﴾"พระองค์ตรัสว่า เจ้าทั้งสองจงออกไปจากสวนสวรรค์ทั้งหมด โดยบางคน (ลูกหลาน) ในหมู่พวกเจ้าเป็นศัตรูกับอีกบางคน บางทีเมื่อมีคำแนะนำ (ฮิดายะฮ์) จากข้ามายังพวกเจ้า แล้วผู้ใดปฏิบัติตามคำแนะนำ (ฮิดายะฮ์) ของข้า เขาก็จะไม่หลงผิด และจะไม่ได้รับความลำบาก (123)และผู้ใดผินหลังจากการรำลึกถึงข้า แท้จริงสำหรับเขาคือ การมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้น และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ์ในสภาพของคนตาบอด"[ซูเราะฮ์ ฏอฮา : 123-124]

ฉันจะได้อะไรจากการเข้ารับศาสนาอิสลาม?

การเข้ารับศาสนาอิสลามมีประโยชน์มากมาย เช่น:

- ได้รับชัยชนะและได้รับเกียรติในโลกนี้ ด้วยการเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะเป็นทาสของกิเลสตัณหา ชัยฏอน และอารมณ์

- ได้รับชัยชนะในชีวิตหลังความตาย คือการที่อัลลอฮ์ทรงให้อภัยเขา ทรงประทานความพึงพอพระทัยของพระองค์แก่เขา และอัลลอฮ์ก็ทรงให้เขาได้เข้าสวรรค์ และได้รับความโปรดปรานและความสุขชั่วนิรันดร์ และได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากความทรมานในนรก

- ในวันกิยามะฮ์ บรรดาผู้ศรัทธาจะอยู่ร่วมกับบรรดานบี บรรดาผู้ซื่อสัตย์ บรรดาผู้ที่ตายในหนทางของอัลลอฮ์ และบรรดาผู้มีคุณธรรมความดีทั้งหลาย ช่างเป็นสหายที่เยี่ยมยอดเหลือเกิน! และบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาก็จะอยู่กับบรรดาผู้อธรรม ผู้ที่ชั่วร้าย อาชญากรและผู้ที่สร้างความเสียหายทั้งหลาย

- บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงให้พวกเขาได้เข้าสู่สวรรค์ พวกเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์ ซึ่งปราศจากความตาย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ความแก่ หรือความโศกเศร้า และพระองค์จะประทานสิ่งที่พวกเขาปรารถนาทุกอย่าง และบรรดาผู้ที่เข้าสู่นรกจะต้องได้รับความทรมานชั่วนิรันดร์ไม่รู้จบ

- ในสวรรค์นั้นมีความสุขมากมายที่ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยิน และไม่มีใครเคยนึกถึง หลักฐานหนึ่งที่กล่าวถึงเรื่องนี้ คือคำตรัสของอัลลอฮ์ ที่ว่า:﴿مَنْ عَمِلَ صَالِحًا مِنْ ذَكَرٍ أَوْ أُنْثَى وَهُوَ مُؤْمِنٌ فَلَنُحْيِيَنَّهُ حَيَاةً طَيِّبَةً وَلَنَجْزِيَنَّهُمْ أَجْرَهُمْ بِأَحْسَنِ مَا كَانُوا يَعْمَلُونَ﴾"ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้"[ซูเราะฮ์ อันนะห์ลุ: 97]และอัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:﴿فَلَا تَعۡلَمُ نَفۡسٞ مَّآ أُخۡفِيَ لَهُم مِّن قُرَّةِ أَعۡيُنٖ جَزَآءَۢ بِمَا كَانُواْ يَعۡمَلُونَ﴾"ดังนั้น จึงไม่มีชีวิตใดรู้สิ่งที่ถูกซ่อนไว้สำหรับพวกเขา ให้เป็นที่รื่นรมย์แก่สายตา เป็นการตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้"[ซูเราะฮ์ อัซซัจญ์ดะฮ์ :17]

ฉันจะขาดทุนอะไร หากฉันปฏิเสธศาสนาอิสลาม?

มนุษย์จะขาดทุนที่ไม่ได้รับความรู้และความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับอัลลอฮ์ และเขาจะขาดทุนที่ไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ผู้ทรงให้ความสงบและสันติสุขในโลกนี้ และความสุขนิรันดร์ในชีวิตหลังความตาย

มนุษย์จะขาดทุนที่ไม่ได้อ่านคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่มนุษย์ และขาดทุนที่ไม่ได้ศรัทธาต่อคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่นี้

เขาจะขาดทุนที่ไม่ได้ศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูตผู้ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับที่เขาจะขาดทุนที่จะไม่ได้เป็นสหายของพวกเขาในสวรรค์ในวันฟื้นคืนชีพ และเขาจะเป็นสหายของบรรดามารร้ายชัยฏอน บรรดาคนชั่ว และบรรดาผู้อธรรมในไฟนรก และเป็นที่พำนักที่น่าสังเวชและมีเพื่อนบ้านที่ชั่วร้าย

อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสว่า:﴿قُلْ إِنَّ الْخَاسِرِينَ الَّذِينَ خَسِرُوا أَنْفُسَهُمْ وَأَهْلِيهِمْ يَوْمَ الْقِيَامَةِ أَلا ذَلِكَ هُوَ الْخُسْرَانُ الْمُبِينُ (15)لَهُمْ مِنْ فَوْقِهِمْ ظُلَلٌ مِنَ النَّارِ وَمِنْ تَحْتِهِمْ ظُلَلٌ ذَلِكَ يُخَوِّفُ اللَّهُ بِهِ عِبَادَهُ يَا عِبَادِ فَاتَّقُونِ﴾"จงกล่าวเถิดว่า แท้จริงบรรดาผู้ขาดทุนนั้นคือ บรรดาผู้ที่ทำตัวของพวกเขาเองและครอบครัวของพวกเขาให้ขาดทุนในวันกิยามะฮ์ พึงรู้เถิดว่า นั่นคือการขาดทุนอย่างชัดแจ้ง (15)สำหรับพวกเขานั้นมีชั้นของเปลวไฟนรกปกคลุมเหนือพวกเขา และเบื้องล่างของพวกเขาก็มีชั้นของเปลวไฟนรกอยู่ด้วย สิ่งนั้นแหละที่อัลลอฮ์ทรงทำให้ปวงบ่าวของพระองค์กลัว โอ้ปวงบ่าวของข้าเอ๋ย จงยำเกรงต่อข้าเถิด"[ซูเราะฮ์ อัซซุมัร : 15-16]

ใครก็ตามที่ต้องการรอดในชีวิตหลังความตาย สำหรับเขาคือการนับถือศาสนาอิสลามและปฏิบัติตามนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่บรรดานบีและเราะซูลเห็นพ้องต้องกัน คือ เฉพาะผู้ที่เป็นมุสลิมที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และไม่ตั้งภาคีต่อพระองค์ และศรัทธาต่อบรรดานบีและเราะซูลทั้งหมดเท่านั้น ที่จะปลอดภัยในชีวิตหลังความตาย ดังนั้นบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามบรรดาเราะซูลศรัทธาต่อพวกเขาและเชื่อในพวกเขา พวกเขาหล่านั้นจะได้เข้าสวรรค์และปลอดภัยจากนรกอย่างแน่นอน

ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในสมัยของนบีมูซาและศรัทธาต่อท่าน ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน แท้จริงพวกเขาคือมุสลิม และเป็นผู้ศรัทธาที่ดี แต่หลังจากที่อัลลอฮ์ได้ส่งนบีอีซา(เยซู) มา ผู้ติดตามของนบีมูซาก็ต้องศรัทธาต่อนบีอีซาและปฏิบัติตามท่านดังนั้น ใครก็ตามที่ศรัทธาต่อนบีอีซา พวกเขาก็คือมุสลิมที่ดี และใครก็ตามที่ปฏิเสธศรัทธาต่อนบีอีซา และกล่าวว่าฉันจะนับถือศาสนาของนบีมูซาต่อไป แท้จริงเขาผู้นั้นคือคนที่ไม่ศรัทธา เพราะเขาปฏิเสธที่จะศรัทธาต่อนบีที่อัลลอฮ์ได้ส่งมาแล้วหลังจากที่อัลลอฮ์ส่งเราะซูลท่านสุดท้ายมา คือนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จำเป็นสำหรับทุกคนต้องศรัทธาต่อท่าน เพราะพระเจ้าที่ส่งมูซาและอีซามานั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ส่งเราะซูลคนสุดท้ายมา คือนบีมุฮัมมัด ดังนั้นใครก็ตามที่ปฏิเสธศรัทธาต่อการเป็นเราะซูลของมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และกล่าวว่า "ฉันจะปฏิบัติตามนบีมูซาหรืออีซาต่อไป" แท้จริงเขาไม่ใช่ผู้ศรัทธา

ไม่เพียงพอสำหรับบางคนที่จะกล่าวว่า ฉันให้เกียรติมุสลิม และไม่เพียงพอต่อการที่จะรอดในชีวิตหลังความตายด้วยการให้ทานและช่วยเหลือคนยากจน แต่จำเป็นสำหรับเขาต้องศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ต่อคัมภีร์ของพระองค์ บรรดาเราะซูล และต่อวันอาคิเราะฮ์ เพื่ออัลลอฮ์จะได้รับความดีเหล่านั้นจากเขา! ไม่มีบาปใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการตั้งภาคีและปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ปฏิเสธโองการที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา หรือปฏิเสธการเป็นนบีของนบีท่านสุดท้ายของพระองค์ คือนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

ดังนั้น ชาวยิว คริสเตียน และคนอื่นๆ ที่ได้ยินเกี่ยวกับการมาของของนบีมุฮัมมัด ผู้เป็นเราะซูลของอัลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วพวกเขาปฏิเสธที่จะศรัทธาต่อเขาและปฏิเสธที่จะนับถือศาสนาอิสลาม พวกเขาจะเป็นกลุ่มชนอยู่ในไฟนรกซึ่งจะอยู่ในนั้นชั่วนิรันดร์ นี่คือการพิพากษาของอัลลอฮ์และไม่ใช่การพิพากษาของมนุษย์คนใด อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿إِنَّ الَّذِينَ كَفَرُوا مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ وَالْمُشْرِكِينَ فِي نَارِ جَهَنَّمَ خَالِدِينَ فِيهَا ۚ أُولَـٰئِكَ هُمْ شَرُّ الْبَرِيَّة﴾"แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจากกลุ่มชาวคัมภีร์และกลุ่มผู้ตั้งภาคีนั้นจะอยู่ในนรกญะฮันนัม พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นชั่วนิรันดร์ พวกเขาเหล่านั้นเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายที่สุด"[ซูเราะฮ์ อัลบัยยินะฮ์ : 6]

นับตั้งแต่การประทานสาส์นสุดท้ายของอัลลอฮ์แก่มนุษย์มา มนุษย์ทุกคนที่ได้ยินเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและได้ยินเกี่ยวกับสาส์นของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่เป็นนบีคนสุดท้ายนั้น จำเป็นสำหรับเขาต้องศรัทธาต่อท่าน ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่เกี่ยวกับศาสนกิจของท่าน และเชื่อฟังท่านในคำสั่งและข้อห้ามของท่าน ดังนั้นใครก็ตามที่ได้ยินสาส์นสุดท้ายนี้ แล้วปฏิเสธมัน อัลลอฮ์จะไม่ยอมรับสิ่งใดๆ จากเขา และพระองค์จะลงโทษเขาในวันอาคิเราะฮ์

อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า:﴿وَمَنْ يَبْتَغِ غَيْرَ الْإِسْلَامِ دِينًا فَلَنْ يُقْبَلَ مِنْهُ وَهُوَ فِي الْآخِرَةِ مِنَ الْخَاسِرِينَ﴾"และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน"[ซูเราะฮ์ อาละอิมรอน : 85]

และอัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿قُلْ يَا أَهْلَ الْكِتَابِ تَعَالَوْا إِلَى كَلِمَةٍ سَوَاءٍ بَيْنَنَا وَبَيْنَكُمْ أَلَّا نَعْبُدَ إِلَّا اللَّهَ وَلَا نُشْرِكَ بِهِ شَيْئًا وَلَا يَتَّخِذَ بَعْضُنَا بَعْضًا أَرْبَابًا مِنْ دُونِ اللَّهِ فَإِنْ تَوَلَّوْا فَقُولُوا اشْهَدُوا بِأَنَّا مُسْلِمُونَ﴾"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) "โอ้ ชาวคัมภีร์เอ๋ย จงมาสู่ถ้อยคำหนึ่งที่เท่าเทียมกันระหว่างเราและพวกท่าน คือเราจะไม่เคารพสักการะต่อสิ่งใดๆ นอกจากอัลลอฮ์ และเราจะไม่ตั้งภาคีใดๆ กับพระองค์ และพวกเราบางคนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์" แล้วหากพวกเขาผินหลังให้ ก็จงกล่าว(แก่พวกเขา)ว่า "จงเป็นพยานเถิดว่า พวกเราเป็นกลุ่มชนที่นอบน้อม(ต่ออัลลอฮ์)"[ซูเราะฮ์ อาละอิมรอน : 64]

อะไรคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับฉัน หากฉันต้องการเป็นมุสลิม?

หากต้องการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม จำเป็นต้องศรัทธาต่อหลักการศรัทธา 6 ประการ ต่อไปนี้:

ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา โดยศรัทธาว่าพระองค์คือผู้สร้าง ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ ผู้บริหารจัดการ และเป็นเจ้าของ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ พระองค์ไม่มีภรรยา ไม่มีลูก และพระองค์คือผู้เดียวที่คู่ควรแก่การเคารพสักการะ และจะไม่มีสิ่งใดได้รับการเคารพสักการะพร้อมกับพระองค์ และเขาต้องเชื่อว่า การเคารพสักการะต่อสิ่งใดๆ อื่นจากพระองค์นั้น การเคารพสักการะของเขานั้นถือว่าใช้ไม่ได้

ศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮ์ ว่าพวกเขาคือบ่าวของอัลลอฮ์ที่มีเกียรติ พระองค์ทรงสร้างพวกเขาจากรัศมี และทรงกำหนดส่วนหนึ่งจากภาระงานของพวกเขาคือการนำโองการของอัลลอฮ์ลงมาให้แก่บรรดานบีของพระองค์

ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ทั้งหมดที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา เช่น เตารอต อินญีล (ก่อนการดัดแปลงแก้ไข) และคัมภีร์เล่มสุดท้าย คืออัลกุรอาน

ศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทั้งหมด เช่น นูห์ อิบรอฮีม มูซา อีซา และคนสุดท้ายคือนบีมุฮัมมัด พวกเขาทั้งหมดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงให้การสนับสนุนพวกเขาด้วยการประทานวะห์ยู ประทานสัญญาณต่างๆ และสิ่งอัศจรรย์แก่พวกเขาเพื่อแสดงถึงความสัตย์จริงของพวกเขา

ศรัทธาต่อวันอาคิเราะฮ์นั้นคือวันที่อัลลอฮ์ให้มีการฟื้นคืนชีพขึ้นมาทั้งผู้ที่อยู่ในยุคแรกๆ และยุคสุดท้าย และพระองค์ทรงพิพากษาระหว่างพวกเขา และทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาเข้าสวรรค์และให้ผู้ปฏิเสธเข้านรก

ศรัทธาต่อกฎกำหนดสภาวการณ์ อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง ทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต และสิ่งที่กำลังจะเกิดขี้นในอนาคต อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ ทรงบันทึกสิ่งเหล่านั้น ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งขึ้นมา

ท่านจงอย่าประวิงเวลาในการตัดสินใจ!

โลกนี้ ไม่ใช่สถานที่นิรันดร์

ความสวยงามของมันจะจางหายไป และความต้องการของอารมณ์จะดับลง...

วันแห่งการพิพากษาต่อทุกการกระทำของมนุษย์จะมาถึงอย่างแน่นอน มันคือวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿وَوُضِعَ الْكِتَابُ فَتَرَى الْمُجْرِمِينَ مُشْفِقِينَ مِمَّا فِيهِ وَيَقُولُونَ يَا وَيْلَتَنَا مَالِ هَذَا الْكِتَابِ لاَ يُغَادِرُ صَغِيرَةً وَلاَ كَبِيرَةً إِلاَّ أَحْصَاهَا وَوَجَدُوا مَا عَمِلُوا حَاضِرًا وَلاَ يَظْلِمُ رَبُّكَ أَحَدًا﴾"และบันทึกจะถูกวางไว้ ดังนั้น เจ้าจะเห็นผู้กระทำผิดทั้งหลายหวั่นกลัวสิ่งที่มีอยู่ในบันทึกและพวกเขาจะกล่าวว่า "โอ้ความวิบัติของเราเอ๋ย บันทึกอะไรกันนี่ มันมิได้ละเว้นสิ่งเล็กน้อยและสิ่งใหญ่โตเลย เว้นแต่ได้บันทึกไว้ครบถ้วน" และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ปรากฏอยู่ต่อหน้า และพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย"[ซูเราะฮ์ อัลกะฮ์ฟิ : 49]

แท้จริงอัลลอฮ์ ตะอาลา ได้แจ้งแก่เราว่า ผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอิสลาม แท้จริงสถานที่สุดท้ายของพวกเขาคือจะอยู่ในไฟนรกตลอดไป

ดังนั้น ความขาดทุน ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย แต่มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿وَمَن يَبْتَغِ غَيْرَ الْإِسْلَامِ دِينًا فَلَن يُقْبَلَ مِنْهُ وَهُوَ فِي الْآخِرَةِ مِنَ الْخَاسِرِينَ﴾"และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน"[ซูเราะฮ์ อาละอิมรอน : 85]

ดังนั้นอิสลามคือศาสนาเดียวที่อัลลอฮ์ยอมรับโดยที่พระองค์จะไม่ยอมรับศาสนาอื่นๆ

ดังนั้น อัลลอฮ์ ทรงสร้างเรามา แด่พระองค์เท่านั้นที่เราจะต้องกลับไป และโลกใบนี้เป็นสถานที่เพื่อการทดสอบสำหรับเราเท่านั้น

เพื่อให้มนุษย์เกิดความมั่นใจมากขึ้น แท้จริงชีวิตนี้มันสั้นเหมือนกับความฝัน...ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรความตายจะมาถึงเขา

แล้วอะไรจะเป็นคำตอบของเขาที่จะต้องตอบให้ผู้สร้างของเขาเมื่อพระองค์ถามในวันฟื้นคืนชีพ: ทำไมเขาไม่ปฏิบัติตามความจริง? ทำไมเขาไม่ปฏิบัติตามนบีท่านสุดท้าย?

แล้วพระเจ้าของเจ้าจะทรงตอบแทนอย่างไรในวันกิยามะฮ์ เมื่อพระองค์ทรงเตือนถึงผลที่ตามมาจากการปฏิเสธศาสนาอิสลาม และพระองค์ทรงแจ้งแล้วว่าสถานที่สุดท้ายสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น คือความพินาศในนรกชั่วนิรันดร์?

อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสไว้ว่า:﴿وَالَّذِينَ كَفَرُوا وَكَذَّبُوا بِآيَاتِنَا أُولَئِكَ أَصْحَابُ النَّارِ هُمْ فِيهَا خَالِدُونَ﴾"และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธ และกล่าวเท็จต่อบรรดาโองการของเรา พวกเขาก็คือ ชาวนรก โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล"[ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ : 39]

ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ สำหรับผู้ที่ละทิ้งความจริงและทำตามบรรพบุรุษปู่ย่าตายายของเขา

อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงแจ้งแก่เราว่า มนุษย์ส่วนมากปฏิเสธที่จะนับถือศาสนาอิสลาม เพราะกลัวสภาพแวดล้อมที่พวกเขาอาศัยอยู่

มนุษย์หลายคนปฏิเสธศาสนาอิสลาม เพราะไม่ต้องการเปลี่ยนความเชื่อของตนที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษหรือได้มาจากสภาพแวดล้อมและสังคมรอบข้าง และกลายมาเป็นธรรมเนียมยึดถือกันมาและหลายคนถูกขัดขวางด้วยความคลั่งไคล้และปกป้องความเท็จที่พวกเขาได้สืบทอดกันมา

และพวกเขาเหล่านี้ทั้งหมดจะไม่มีข้อแก้ตัวเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขายึดปฏิบัติ และพวกเขาจะยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์อัลลอฮ์ในสภาพที่ไม่มีหลักฐานใดๆ

ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ สำหรับผู้ปฏิเสธจะพูดว่า "ฉันจะยังคงเป็นผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เพราะว่าฉันเกิดมาในครอบครัวที่ไม่เชื่อพระเจ้า!" แต่จำเป็นสำหรับเขา ควรใช้สติปัญญาที่อัลลอฮ์ประทานให้ ไตร่ตรองถึงความยิ่งใหญ่ของท้องฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และให้คิดด้วยสติปัญญาที่อัลลอฮ์สร้างไว้ เพื่อจะตระหนักว่าจักรวาลนี้มีพระผู้สร้างและเช่นเดียวกัน ผู้ใดบูชาหินและรูปเคารพก็ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับพวกเขาที่เลียนแบบบรรพบุรุษของเขา แต่เขาต้องแสวงหาความจริงและถามตัวเองว่า: ฉันจะบูชาสิ่งไม่มีชีวิตที่ไม่ได้ยินฉัน ไม่เห็นฉันและไม่ให้ประโยชน์ใดๆ แก่ฉัน ได้อย่างไร?!

และเช่นเดียวกัน ชาวคริสเตียนที่ศรัทธาในสิ่งที่ขัดแย้งกับธรรมชาติและสติปัญญา พวกเขาควรถามตัวเองว่า: พระเจ้าจะฆ่าลูกชายของตัวเองผู้ไม่มีบาปเพื่อต้องการลบล้างบาปของผู้อื่นได้อย่างไร?! นี่มันไม่ยุติธรรม! และมนุษย์จะตรึงกางเขนและสังหารบุตรของพระเจ้าได้อย่างไร?! พระเจ้าไม่สามารถให้อภัยบาปของมนุษย์โดยไม่ปล่อยให้พวกเขาฆ่าบุตรของพระองค์ไม่ได้หรือ? พระเจ้าไม่สามารถปกป้องบุตรของพระองค์ได้เลยหรือ?

ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้มีสติปัญญาคือการปฏิบัติความจริง และไม่ปฏิบัติตามบรรพบุรุษที่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสว่า:﴿وَإِذَا قِيلَ لَهُمْ تَعَالَوْا إِلَى مَا أَنْزَلَ اللَّهُ وَإِلَى الرَّسُولِ قَالُوا حَسْبُنَا مَا وَجَدْنَا عَلَيْهِ آبَاءَنَا أَوَلَوْ كَانَ آبَاؤُهُمْ لَا يَعْلَمُونَ شَيْئًا وَلَا يَهْتَدُونَ﴾"และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมาสู่สิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงประทานลงมาเถิด และมาสู่เราะซูลด้วย พวกเขาก็กล่าวว่า เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมา ถึงแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ"[ซูเราะฮ์ อัลมาอิดะฮ์ : 104]

ผู้ที่ต้องการเข้ารับอิสลามแต่กลัวคนรอบข้างจะทำร้ายเขา เขาควรทำอย่างไร?

ใครก็ตามที่ต้องการนับถือศาสนาอิสลามและกลัวคนรอบข้างเขา เขา ก็สามารถเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามได้ด้วยการปกปิดศาสนาอิสลามของเขาจนกว่าอัลลอฮ์จะทำให้เกิดความสะดวกด้วยเส้นทางที่ดีกว่าสำหรับเขา เพื่อที่เขาจะได้อิสระและแสดงศาสนาอิสลามของเขาได้อย่างเปิดเผย

เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคนต้องนับถือศาสนาอิสลามโดยเร็ว แต่ไม่จำเป็นสำหรับเขาต้องบอกคนรอบข้างเกี่ยวกับการเข้ารับศาสนาอิสลามหรือประกาศให้ใครทราบ หากการกระทำนั้นเป็นผลกระทบต่อเขา

จงรู้เถิดว่า หากคนหนึ่งคนใดมานับถือศาสนาอิสลามแล้ว เขาจะกลายเป็นพี่น้องคนหนึ่งของมุสลิมหลายล้านคน และเขาสามารถไปมาหาสู่กับมัสยิดหรือศูนย์อิสลามในประเทศของเขา และขอคำแนะนำและความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ ซึ่งนั่นจะทำให้พวกเขามีความสุข

อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿وَمَنْ يَتَّقِ اللَّهَ يَجْعَلْ لَهُ مَخْرَجًاوَيَرْزُقْهُ مِنْ حَيْثُ لَا يَحْتَسِب﴾"และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮ์ พระองค์ก็จะทรงหาทางออกให้แก่เขาและจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขาจากทิศทางที่เขาคาดไม่ถึง"[ซูเราะฮ์ อัฏเฏาะล๊าก : 2-3]

ผู้อ่านที่มีเกียรติครับ

การทำให้อัลลอฮ์ ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างความพอพระทัย พระองค์ผู้ทรงให้ความสุขทั้งหมดแก่เรา ทรงให้อาหารแก่เราในขณะที่เรายังอยู่ในครรภ์มารดาของเรา และทรงให้อากาศแก่เราได้หายใจในเวลานี้ สำคัญกว่าความพึงพอใจของผู้คนที่มีต่อเราไม่ใช่หรือ?

ความสำเร็จในโลกนี้และวันอาคิเราะฮ์นั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่เราควรทุ่มเทเสียสละด้วยความสุขต่างๆ ที่เป็นความสุขชั่วขณะของชีวิตไม่ใช่หรือ? ใช่แล้ว ขอสาบานต่ออัลลอฮ์!

ดังนั้นบุคคลไม่ควรปล่อยให้อดีตของเขาขัดขวางเขาจากการแก้ไขทางเดินที่ผิดของเขาและทำในสิ่งที่ถูก

เขาต้องเป็นมนุษย์ผู้ศรัทธาที่แท้จริงในวันนี้! และเขาต้องไม่ปล่อยให้ชัยฏอนหยุดเขาจากการปฏิบัติตามความถูกต้องที่แท้จริง!

อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสว่า:﴿يَا أَيُّهَا النَّاسُ قَدْ جَاءَكُمْ بُرْهَانٌ مِنْ رَبِّكُمْ وَأَنزلْنَا إِلَيْكُمْ نُورًا مُبِينًا (174)فَأَمَّا الَّذِينَ آمَنُوا بِاللَّهِ وَاعْتَصَمُوا بِهِ فَسَيُدْخِلُهُمْ فِي رَحْمَةٍ مِنْهُ وَفَضْلٍ وَيَهْدِيهِمْ إِلَيْهِ صِرَاطًا مُسْتَقِيمًا﴾"มนุษยชาติทั้งหลาย แน่นอนได้มีหลักฐานจากพระเจ้าของพวกเจ้ามายังพวกเจ้าแล้ว และเราได้ให้แสงสว่างอันแจ่มแจ้งลงมาแก่พวกเจ้าด้วย(174)ส่วนบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และยึดมั่นในพระองค์นั้น ดังนั้น พระองค์จะทรงให้พวกเขาเข้าอยู่ในความเอ็นดูเมตตา และเกียรติศักดิ์แห่งพระองค์ และจะทรงชี้นำพวกเขาซึ่งทางอันเที่ยงตรงไปสู่พระองค์"[ซูเราะฮ์ อันนิสาอ์ : 174-175]

คุณพร้อมที่จะตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคุณแล้วหรือยัง?

หากทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่มีเหตุผล และบุคคลยอมรับความจริงนั้นด้วยใจของเขา ดังนั้นเขาต้องย่างก้าวของเขาด้วยก้าวแรกสู่การเป็นมุสลิม

และใครบ้างที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตและได้รับคำแนะนำถึงวิธีการสู่การเป็นมุสลิม?

ก็จงอย่าปล่อยให้บาปของเขาขัดขวางเขาจากการเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม อัลลอฮ์ได้บอกเราในอัลกุรอานว่าพระองค์จะทรงอภัยบาปของบุคคลทั้งหมดหากเขายอมรับอิสลามและกลับใจต่อผู้สร้างของเขา แม้ว่าหลังจากเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามแล้ว ก็เป็นเรื่องปกติที่คนๆ หนึ่งจะทำบาปบางอย่าง เพราะว่าเราเป็นมนุษย์และไม่ใช่มลาอิกะฮ์ที่ไม่มีบาปอย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องทำคือการขอการอภัยโทษจากอัลลอฮ์และกลับใจต่อพระองค์ และหากอัลลอฮ์ทรงเห็นว่าเรายอมรับความจริงอย่างจริงใจแล้วและเข้าสู่ศาสนาอิสลามและกล่าวคำปฏิญาณ (ชะฮาดะฮ์) พระองค์ก็จะทรงช่วยเหลือเราให้ได้ละทิ้งบาปอื่นๆ ใครก็ตามที่ยอมรับอัลลอฮ์และปฏิบัติตามความจริง อัลลอฮ์จะทรงนำทางเขาไปสู่ความดีที่ยิ่งใหญ่กว่า เพื่อที่บางคนจะได้ไม่ต้องลังเลใจในการเข้ามานับถือศาสนาอิสลามในตอนนี้

ส่วนหนึ่งจากหลักฐาน คือ คำตรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลา ที่ว่า:﴿قُلْ لِلَّذِينَ كَفَرُوا إِنْ يَنْتَهُوا يُغْفَرْ لَهُمْ مَا قَدْ سَلَفَ﴾"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า "หากพวกเขาหยุด(จากการศรัทธาที่เป็นการปฏิเสธอัลลอฮ์) พวกเขาจะได้รับการอภัยโทษซึ่งความผิดในอดีตของพวกเขา"[ซูเราะฮ์ อัลอันฟาล : 38]

ฉันควรทำอะไรบ้าง เพื่อฉันจะได้เป็นมุสลิม?

การเข้ารับอิสลามเป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องมีพิธีกรรมอะไร และไม่ต้องเป็นทางการหรือให้ใครมา โดยเพียงแค่เขากล่าวคำปฏิญาณ 2 ประโยค รู้ความหมาย และศรัทธาต่อคำปฏิญาณนั้น โดยกล่าวว่า (อัชฮะดู อัลลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮุ วะอัชฮะดู อันนา มูฮัมมะดัร เราะซูลุลลอฮ์) ความว่า "ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะอย่างแท้จริงนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น และฉันขอปฏิญาณว่า มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์" และถ้าไม่เป็นการลำบากสำหรับคุณก็ให้กล่าวด้วยภาษาอาหรับจะเป็นการดีกว่า และถ้ามันเป็นเรื่องยากก็แค่กล่าวด้วยภาษาของคุณ จากตรงนี้คุณก็เป็นมุสลิมแล้ว หลังจากนั้นคุณต้องศึกษาศาสนาของคุณซึ่งจะเป็นที่มาของความสุขสำหรับคุณทั้งในโลกนี้และทางรอดของคุณในวันอาคิเราะฮ์

معلومات المادة باللغة العربية