×
New!

Bayan Al Islam Encyclopedia Mobile Application

Get it now!

ศาสดาแห่งอิสลาม มุหัมมัด ศ็อลลล ั ลอฮอุ ะลย ั ฮว ิ ะซล ั ลม (ไทย)

สร้างโดย:

Description

ศาสดาแห่งอิสลาม มุหัมมัด ศ็อลลล ั ลอฮอุ ะลย ั ฮว ิ ะซล ั ลม

Download Book

ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตเมตตาเสมอ

ศาสดาแห่งอิสลาม มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

บทสรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับศาสดาแห่งอิสลาม มุหัมมัด(1)ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในบทสรุปนี้ฉันจะกล่าวถึงชื่อของท่าน เชื้อสายวงศ์ตระกูล ถิ่นกำเนิด การแต่งงาน สาสน์ สิ่งที่ท่านเรียกร้องไปสู่มัน สัญญาณที่บ่งบอกถึงการเป็นศาสดาของท่าน บทบัญญัติและจุดยืนของฝ่ายตรงข้ามที่มีต่อท่าน

1- ชื่อ เชื้อสาย และถิ่นกำเนิดของท่าน

ศาสดาแห่งอิสลามคือ มุหัมมัด บิน อับดุลลอฮ์ บิน อับดุลมุฎเฎาะลิบ บิน ฮาชิม มาจากลูกหลานของอิสมาอีล บิน อิบรอฮีม อะลัยฮิมุสสลาม โดยที่ท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม เดินทางมาจากซีเรียไปยังมักกะฮ์ พร้อมกับภรรยาของท่าน ฮาญัร และลูกชายของท่าน อิสมาอีล ซึ่งยังอยู่ในเปล และให้เขาทั้งสองพักอาศัยอยู่ในมักกะฮ์ตามคำบัญชาของอัลลอฮ์ อัซซะวะญัล และเมื่ออิสมาอีลเติบใหญ่ นบีอิบรอฮีมได้ไปยังมักกะฮ์ ท่านและลูกชายของท่านอิสมาอีลได้ช่วยกันสร้างกะอ์บะฮ์ขึ้นมา และมีผู้คนเข้ามามากมายอยู่ล้อมรอบกะอ์บะฮ์ จนมักกะฮ์กลายเป็นจุดหมายปลายทางของผู้ที่เคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ พระเจ้าแห่งสากลโลก และผู้ที่ต้องการประกอบพิธีหัจญ์ และบรรดาผู้คนก็ยังคงเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวอย่างต่อเนื่องตามศาสนาของอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม เป็นเวลาหลายศตวรรษ หลังจากนั้นเกิดการเบี่ยงเบนขึ้นมา จึงทำให้สภาพของคาบสมุทรอาหรับเป็นเหมือนเมืองอื่น ๆ ของโลกที่อยู่ล้อมรอบ โดยมีเรื่องของการเคารพบูชาสิ่งต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย อาทิเช่น การกราบไหว้รูปปั้น การฝังลูกสาวทั้งเป็น การกดขี่สตรี การกล่าวเท็จ การดื่มเหล้า การกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจ การกินทรัพย์ของเด็กกำพร้าและการเอาดอกเบี้ย เป็นต้น ในสถานที่แห่งนี้และสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ศาสดาแห่งอิสลาม มุหัมมัด บิน อับดุลลอฮ์ ซึ่งมาจากลูกหลานของอิสมาอีล บิน อิบรอฮีม อะลัยฮิมุสสะลาม ได้ถือกำเนิดในปี ค.ศ. 571 พ่อของท่านได้เสียชีวิตก่อนที่ท่านจะเกิด และแม่ของท่านเสียชีวิตในตอนที่ท่านมีอายุ 6 ขวบ ทำให้ลุงของท่าน ชื่ออบูฏอลิบมีบทบาทในอุปการะเลี้ยงดูท่าน และท่านได้ใช้ชีวิตในสภาพที่เป็นเด็กกำพร้า ยากจน และท่านได้กินและหารายได้จากการทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่านเอง

2-การแต่งงานที่ประเสริฐกับสตรีผู้ประเสริฐ

และเมื่อท่านอายุ 25 ปี ท่านได้แต่งงานกับหญิงชาวมักกะฮ์คนหนึ่ง ชื่อท่านหญิงเคาะดีญะฮ์ บินต์ คุวัยลิด เราะฎิยัลลอฮฺอันฮา และท่านได้มีบุตรสาวกับนาง 4 คน และบุตรชาย 2 คน ซึ่งบุตรชายสองคนของท่านได้เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก การเชื่อมสัมพันธ์ของท่านกับภรรยาของท่านและครอบครัวท่านนั้น เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความรัก ด้วยเหตุนี้ภรรยาของท่าน ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ จึงรักท่านอย่างมาก และท่านก็รักนางเช่นเดียวกัน ท่านไม่เคยลืมนางเลยถึงแม้ว่าหลังจากที่นางได้เสียชีวิตไปแล้วหลายปี และท่านได้เคยเชือดแกะและแบ่งปันเนื้อแกะในหมู่เพื่อน ๆ ของเคาะดีญะฮ์ด้วย เราะฎิยัลลอฮฺอันฮา เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่พวกนาง ทำดีต่อนางและรักษาความรักของท่านที่มีต่อนาง

3- จุดเริ่มต้นของวะฮ์ยุ

ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีมารยาทดีตั้งแต่อัลลอฮ์ทรงสร้างท่านมา บรรดากลุ่มชนของท่าน จะเรียกท่านว่า อัศศอดิกุลอามีน (คือผู้ที่มีสัจจะและซื่อสัตย์) ท่านเคยมีส่วนร่วมกับกลุ่มชนของท่านในการงานที่ยิ่งใหญ่ และท่านจะโกรธกริ้วในสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ในเรื่องของการบูชารูปปั้นซึ่งท่านจะไม่เข้าร่วมกับพวกเขาในเรื่องนี้

เมื่อท่านมีอายุถึงสี่สิบปีในขณะที่ท่านอยู่ในนครมักกะฮ์ อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ทรงเลือกท่านให้เป็นศาสดา (เราะซูล) ดังนั้นมะลาอีกะฮ์ ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ได้มาหาท่านพร้อมกับนำโองการตอนต้นของสูเราะฮ์แรกที่ถูกประทานลงมาจากคัมภีร์อัลกุรอาน นั่นก็คือคำตรัสของพระองค์ที่ว่า : (จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงบังเกิด(1) ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด(2) จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง(3) ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา(4) ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้(5) ) (ซูเราะฮ์ อัล-อะลัก : 1-5) ดังนั้นท่านจึงมาหาภรรยาของท่าน เคาะดีญะฮฺ์ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุา ด้วยความหวาดกลัว และเล่าเรื่องราวให้นางฟัง แล้วนางก็ได้ปลอบใจท่านและพาท่านไปหาวะเราะเกาะฮ์ บิน เนาฟัล ลูกพี่ลูกน้องของนาง ซึ่งเป็นชาวคริสต์และเขาได้อ่านคัมภีร์อัตเตารอตและคัมภีร์อินญีล เคาะดีญะฮ์พูดกับเขาว่า :โอ้ ลูกพี่ลูกน้อง จงฟังจากหลานชายของเจ้าหน่อย วะเราะเกาะฮ์ พูดกับเขาว่า : โอ้ หลายชายของข้า เจ้าเห็นอะไรหรือ ดังนั้นท่านศาสดา (เราะสูลุลลอฮ์) ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เล่าในสิ่งที่ท่านเห็น วะเราะเกาะฮ์ จึงพูดว่า : นี่คือมะลาอีกะฮ์ ญิบรีลที่อัลลอฮ์เคยประทานลงมาให้กับนบีมูซา ฉันหวังจะเป็นชายหนุ่มในช่วงที่เจ้าเป็นศาสดา ฉันหวังจะมีชีวิตในตอนที่กลุ่มชนของเจ้าขับไล่เจ้าออกไป ท่านศาสดา (เราะซูลุลลอฮ์) ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ถามว่า: "พวกเขาจะขับไล่ฉันกระนั้นหรือ" วะเราะเกาะฮ์ตอบว่า: ใช่ เพราะไม่มีชายใดที่นำมาซึ่งสิ่งที่เหมือนกับสิ่งที่เจ้าได้นำมา นอกเสียจากเขาจะถูกต่อต้าน และหากฉันทันกับช่วงเวลาที่เจ้าเผยแพร่ศาสนา ฉันจะช่วยเจ้าอย่างสุดความสามารถ(2)

ในช่วงระยะเวลาที่อยู่มักกะฮ์ ได้มีการประทานอัลกุรอานลงมาแก่ท่านอย่างต่อเนื่อง โดยมีญิบรีล อะลัยฮิสะลาม เป็นผู้นำอัลกุรอานลงมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก ดังเช่นที่ญิบรีลได้นำรายละเอียดต่าง ๆ ของสาสน์มาให้ท่าน

และท่านยังคงเชิญชวนกลุ่มชนของท่านให้เข้ารับอิสลาม บรรดากลุ่มชนของท่านได้ปฏิเสธและต่อต้านท่าน และได้ยื่นข้อเสนอให้ท่านเพื่อแลกกับการสละพระราชสาสน์ ด้วยทรัพย์สมบัติและการปกครองครอง แต่ท่านได้ปฏิเสธทุกอย่าง พวกเขาก็ต่อว่าท่านเหมือนกับผู้คนที่เคยต่อว่าบรรดาศาสดา (เราะซูล) ก่อนหน้าท่านว่า เป็นหมอผี เป็นคนมุสา เป็นผู้ที่กุเรื่องขึ้นมา พวกเขากดขี่และทำร้ายร่างกายอันมีเกียรติของท่านและข่มเหงผู้ที่ปฏิบัติตามท่าน ท่านศาสดา (เราะซูลุลลอฮ์) ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ยังคงอยู่ในมักกะฮ์เพื่อเชิญชวนไปยังอัลลอฮ์ ท่านเชิญชวนผู้คนในช่วงฤดูหัจญ์และตลาดอาหรับตามฤดูกาล ซึ่งท่านจะพบปะกับผู้คนมากมายและจะเผยแผ่อิสลามแก่พวกเขาโดยไม่หวังผลตอบแทนแห่งโลกดุนยาหรือการเป็นผู้นำเลย ท่านไม่ได้ข่มขู่ด้วยดาบและไม่ได้มีอำนาจหรือเป็นกษัตริย์มาก่อน และท่านประกาศท้าทายในช่วงแรก ๆ ของการเผยแผ่ศาสนาของท่าน โดยให้พวกเขานำมาซึ่งสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับอัลกุรอานอันยิ่งใหญ่ที่ท่านได้นำมา และท่านก็ยังคงท้าทายศัตรูของท่านด้วยสิ่งนี้ จนทำให้มีบรรดาเศาะหาบะฮ์ที่ทรงเกียรติ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุอันฮุม ได้ศรัทธาต่อท่านและสิ่งที่มีในอัลกุรอาน และในนครมักกะฮ์ อัลลอฮ์ทรงให้เกียรติท่านด้วยสัญญาณอันยิ่งใหญ่ นั่นคือการเดินทางไปยังบัยตุลมักดิศ (มัสยิดอัลอักศอ) แล้วเดินทางขึ้นสู่ฟากฟ้า และเป็นที่ทราบกันดีว่าอัลลอฮ์ได้ทรงยกนบีอิลยาส และนบีอีซา อะลัยฮิมัสสะลาม ขั้นสู่ฟากฟ้า ตามที่ได้มีระบุไว้ ณ บรรดามุสลิมและคริสเตียน และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์บนฟากฟ้าให้ทำการละหมาด ซึ่งเป็นการละหมาดที่ชาวมุสลิมจะปฏิบัติวันละ 5 เวลา และในนครมักกะฮ์เช่นเดียวกันได้มีสัญญานอันยิ่งใหญ่อื่นเกิดขึ้น นั่นก็คือการแยกกันของดวงจันทร์จนกระทั่งบรรดาผู้ตั้งภาคีได้เห็นมัน

บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาชาวกุเรชได้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านท่าน โดยการวางแผนและตีตัวออกห่างจากท่าน ดื้อรั้นด้วยการขอสัญญานต่าง ๆ และขอความช่วยเหลือจากชาวยิวให้ส่งหลักฐานเพื่อช่วยพวกเขาในการโต้แย้งกับท่าน และขัดขวางผู้คนให้ออกไปจากตัวท่าน

และในเมื่อผู้ปฏิเสธศรัทธาชาวกุเรซได้กดขี่ข่มเหงบรรดาผู้ศรัทธาอย่างต่อเนื่อง ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อนุญาตให้พวกเขาอพยพไปยังเมืองหะบะชะฮ์ (เอธิโอเปีย) และกล่าวว่า ที่นั่น (หะบะชะฮ์) มีกษัตริย์ผู้เที่ยงธรรม ไม่กดขี่ใคร ซึ่งเป็นชาวคริสต์ หลังจากนั้นสองกลุ่มในหมู่พวกเขาจึงอพยพไปยังหะบะชะฮ์ เมื่อมูฮาญีรูน (บรรดาผู้อพยพ) เดินทางมาถึงหะบะชะฮ์ พวกเขาก็ได้นำเสนอศาสนาที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมาแก่กษัตริย์นะญาชีย์ แล้วกษัตรย์ก็เข้ารับอิสลามและกล่าวว่า: สิ่งนี้และสิ่งที่มูซา อะลัยฮิสะลาม ได้นำมานั้นมาจากที่เดียวกัน และการทำร้ายของกลุ่มชนของท่านที่มีต่อท่านและเศาะหาบะฮ์ของท่านก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง

และในบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อท่านนบีในช่วงฤดูหัจญ์นั้นคือ กลุ่มหนึ่งที่เดินทางมาจากมะดีนะฮ์และให้คำมั่นกับท่านว่าจะจงรักภักดีต่อต่ออิสลามและจะให้ความช่วยเหลือเมื่อท่านอพยพย้ายไปอยู่ในเมืองของพวกเขา ซึ่งในเวลานั้นมีชื่อเรียกกันว่า (ยัษริบ) และท่านได้อนุญาตให้บรรดาผู้ที่ยังคงอยู่ในนครมักกะฮ์อพยพไปยังเมืองมะดีนะฮ์ แล้วพวกเขาก็ได้อพยพไปยังมะดีนะฮ์และเผยแผ่ศาสนาอิสลามที่นั่นจนกระทั่งไม่มีบ้านไหนเลยที่ไม่ได้เข้ารับอิสลาม

หลังจากที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม เผยแพร่ศาสนาอิสลามที่มักกะฮ์ เป็นเวลา 13 ปี อัลลอฮ์ได้ทรงอนุญาตให้ท่านอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮ์ ดังนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม จึงอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮ์และสานต่อภารกิจการเชิญชวนไปยังอัลลอฮ์ และที่เมืองมะดีนะฮ์นี้บทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามถูกทยอยประทานลงมาอย่างต่อเนื่อง และท่านก็เริ่มส่งตัวแทนพร้อมจดหมายไปยังหัวหน้าของชนเผ่าและกษัตริย์ต่าง ๆ เพื่อเชิญชวนพวกเขาให้เข้ารับอิสลาม และในบรรดาผู้ที่ได้รับจดหมายนั้นคือ: กษัตริย์แห่งโรมัน กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย และกษัตริย์แห่งอียิปต์

ณ เมืองมะดีนะฮ์ ได้เกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา ผู้คนจึงตื่นตระหนก และบังเอิญว่าวันนั้น เป็นวันที่อิบรอฮีมบุตรของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เสียชีวิต ผู้คนจึงกล่าวว่า: ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเกิดจากการเสียชีวิตของอิบรอฮีม ดังนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า: (แท้จริงแล้วปรากฏการณ์สุริยุปราคาหรือจันทรุปราคาไม่ได้เกิดจากการเสียชีวิตหรือการกำเนิดของมนุษย์แต่อย่างใด แต่ทั้งสองเป็นสัญญาณของอัลลอฮ์ เพื่อที่จะให้บ่าวของพระองค์นั้นรู้สึกกลัว)ถ้าหากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นคนมุสาชอบแอบอ้าง เขาคงจะรีบใช้โอกาสทำให้ผู้ที่ปฏิเสธท่านรู้สึกกลัว โดยกล่าวว่า แท้จริงปรากฏการณ์สุริยุปราคาเกิดขึ้นเพราะการเสียชีวิตของลูกชายฉัน แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ปฏิเสธฉัน?

และอัลลอฮ์ได้ทรงประดับประดาท่านศาสดา (เราะซูลุลลอฮ์) ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ด้วยศีลธรรมอันสมบูรณ์ และพระองค์ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของท่านว่า: (และแท้จริง เจ้านั้นอยู่บนศีลธรรมอันยิ่งใหญ่) (ซูเราะฮ์ อัล-เกาะลัม : 4) ท่านศาสดา (เราะซูลุลลอฮ์) ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม มีลักษณะนิสัยที่ดีทุกด้าน เช่น ความซื่อสัตย์ ความบริสุทธิ์ใจ ความกล้าหาญ ความยุติธรรม ความจงรักภักดีแม้กระทั่งกับศัตรู ความเอื้ออาทรและรักการบริจาคเพื่อคนยากจน คนขัดสน หญิงหม้าย และผู้ร้องขอ และใส่ใจที่จะให้พวกเขาได้รับทางนำ ท่านมีความเมตตาและถ่อมตนต่อพวกเขา เช่น เมื่อมีชายแปลกหน้าคนหนึ่งมาตามหาท่านศาสดา (เราซูสูลุลลอฮ์) ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และได้สอบถามบรรดาเศาะฮาบะฮ์ ทั้ง ๆ ที่ท่านอยู่ร่วมในหมู่ของเศาะฮาบะฮ์ แต่เขาไม่รู้จักท่าน แล้วถามว่า: ในบรรดาพวกเจ้าใครคือมุหัมมัด?

ชีวประวัติของท่านศาสดา (เราะซูล) ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์แบบและความสูงส่งในการปฏิสัมพันธ์กับทุกคน ทั้งศัตรูหรือมิตรสหาย สนิทหรือไม่สนิท ผู้ใหญ่หรือเด็ก ผู้ชายหรือผู้หญิง สัตว์ต่าง ๆ หรือนก

และเมื่ออัลลอฮ์ได้ให้ศาสนาสมบูรณ์แก่ท่าน และท่านศาสดา (เราะซูล) ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม เองก็ได้เผยแผ่สาส์นอย่างถึงที่สุดแล้ว ท่านก็เสียชีวิตโดยมีอายุหกสิบสามปี สี่สิบปีก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสดา และอีกยี่สิบสามปีที่เป็นศาสดา (นบีและเราะซูล) ร่างของท่านถูกฝังในเมืองมะดีนะฮ์ และท่านไม่ได้ทิ้งทรัพย์สินเงินทองหรือมรดกแต่อย่างใด เว้นแต่ล่อสีขาวของท่านที่เคยใช้ขี่ และที่ดินเพื่อการกุศลแก่นักเดินทาง

และจำนวนผู้เข้ารับอิสลาม ศรัทธาและติดตามท่านมีจำนวนมาก บรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านที่ได้ร่วมประกอบพิธีหัจญ์วีดาอ์ (หัจญ์อำลา) พร้อมกับท่านมีมากกว่าหนึ่งแสนคนก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตประมาณสามเดือน ซึ่งบางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของการปกป้องรักษาและการเผยแพร่ศาสนาของท่าน และแท้จริงแล้วบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านที่ท่านอบรมพวกเขาด้วยคุณธรรมและหลักการของศาสนาอิสลามนั้น เป็นเศาะฮหาบะฮ์ที่ดีที่สุดในเรื่องของความยุติธรรม ความสมถะ ความกตัญญู ความจงรักภักดี และการอุทิศตนเพื่อศาสนาอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้ศรัทธา

และบรรดาเศาะหาบะฮ์ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุม ที่ศรัทธา มีความรู้ มีการปฏิบัติ มีความจริงใจ มีความเชื่อมั่น อุทิศตน มีความกล้าหาญ และเอื้ออาทรที่สุดคือ อบูบักรฺ์ อัศ-ศิดดีก อุมัร บิน อัลค็อตฏ็อบ อุษมาน บิน อัฟฟาน และอาลี บิน อบีฏอเล็บ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุม และพวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่ศรัทธาและเชื่อมั่นต่อท่าน และเป็นเคาะลีฟะฮ์ (ผู้นำ) ผู้ซึ่งถือธงแห่งศาสนาถัดจากท่าน โดยที่พวกเขาไม่ได้มีคุณลักษณะของการเป็นศาสดาแต่อย่างใด และท่านไม่ได้แยกพวกเขาเป็นการเฉพาะโดยปราศจากเศาะหาบะฮ์ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุม ท่านอื่น ๆ เลย

และอัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ทรงรักษาคัมภีร์ของพระองค์ที่ท่านได้นำมา ซุนนะห์ของท่าน ชีวประวัติของท่าน คำพูดของท่าน และการกระทำของท่าน ด้วยภาษาที่ท่านพูด และไม่มีชีวประวัติใดที่ได้รับการบันทึกรักษาไว้ในประวัติศาสตร์เหมือนกับชีวประวัติของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม แม้กระทั่งได้มีการบันทึกว่าท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม นอน กิน ดื่ม และหัวเราะอย่างไร? ท่านใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวในบ้านของท่านอย่างไร? และทุกเหตุการณ์ของท่านได้รับการเก็บรักษาและจดบันทึกไว้ในชีวประวัติของท่าน ท่านเป็นมนุษย์(ที่ได้รับการแต่งตั้ง)เป็นศาสดา (เราะซูล) คนหนึ่ง ซึ่งไม่มีคุณลักษณะใด ๆ ของความเป็นพระเจ้า และท่านไม่สามารถให้คุณหรือให้โทษแก่ตัวท่านเองได้

สาสน์ของท่าน

อัลลอฮ์ได้ส่งมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หลังจากที่การตั้งภาคี การปฏิเสธศรัทธา และความเขลาได้แผ่กระจายไปทั่วพื้นแผ่นดิน และไม่มีใครบนหน้าแผ่นดินที่ศรัทธาและไม่ตั้งภาคีต่อพระองค์นอกเสียจากชาวคัมภีร์จำนวนหนึ่งที่ยังคงเหลืออยู่ ดังนั้นอัลลอฮ์ ตะอาลา จึงได้ทรงแต่งตั้งศาสนทูตของพระองค์ มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเป็นศาสดาและศาสนทูตคนสุดท้าย อัลลอฮ์ได้ทรงแต่งตั้งท่านด้วยทางนำและศาสนาแห่งสัจธรรมเพื่อสากลโลกทั้งมวล เพื่อพระองค์จะทรงให้ศาสนาอิสลามอยู่เหนือศาสนาทั้งมวล และเพื่อนำผู้คนออกจากความมืดมิดของการกราบไหว้รูปปั้น การปฏิเสธศรัทธา และความเขลาไปสู่แสงสว่างของการให้เอกภาพและการศรัทธา และสาส์นของท่านจะเป็นการเติมเต็มสาส์นของบรรดาศาสดาที่ผ่านมา อะลัยฮิมุเศาะลาตุวัสสะลาม

และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เรียกร้องเชิญชวนไปยังสิ่งที่บรรดาศาสดาและศาสนทูต อะลัยฮิมุสสลาม ได้เรียกร้องเชิญชวนไว้ เช่น นูห์ อิบรอฮีม มูซา สุลัยมาน ดาวูดและอีซา พวกเขาได้เรียกร้องเชิญชวนไปสู่ความศรัทธาว่าพระเจ้านั้นคืออัลลอฮ์ ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ทรงให้เป็น ผู้ทรงให้ตาย ผู้ทรงอภิสิทธิ์ ผู้ทรงอำนาจ และพระองค์คือผู้ทรงบริหารจัดการ ผู้ทรงเอ็นดูและเมตตาเสมอ และพระองค์คือผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลทั้งที่เรามองเห็นและมองไม่เห็น และทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากอัลลอฮ์แล้วจะเป็นสิ่งถูกสร้างอย่างหนึ่งของพระองค์

เช่นเดียวกันท่านได้เชิญชวนให้ทำการเคารพภักดี (อิบาดะฮ์) ต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว และละทิ้งการเคารพภักดีต่อสิ่งอื่น และได้ชี้แจงอย่างชัดเจน ว่าอัลลอฮ์นั้นมีเพียงองค์เดียว ไม่มีหุ้นส่วนใด ๆ ต่อพระองค์ ทั้งในการเคารพภักดี อำนาจ การสร้างหรือการบริหารจัดการ และได้ชี้แจงว่าอัลลอฮ์ ตะอาลา ไม่ประสูติและไม่ถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนหรือเท่าเทียมพระองค์ และพระองค์จะไม่ทรงสถิตอยู่กับสิ่งใดและจะไม่ร่างทรงในสิ่งใดที่เป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์

และท่านได้เชิญชวนให้ศรัทธาต่อคัมภีร์ของอัลลอฮ์ เช่น คัมภีร์ของอิบรอฮีมและมูซา อะลัยฮิมัสสลาม คัมภีร์อัต-เตารอฮ์ คัมภีร์อัซ-ซะบูร และคัมภีร์อัล-อินญีล และได้เชิญชวนให้ศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูต (เราะซูล) อะลัยฮิมุสสลาม ทุกคน และผู้ใดที่ปฏิเสธต่อศาสนทูตท่านใดท่านหนึ่ง ถือว่าเขานั้นได้ปฏิเสธบรรดาศาสนทูตทั้งหมด

และท่านได้แจ้งข่าวดีแก่มวลมนุษย์เกี่ยวกับความเมตตาของอัลลอฮ์ อัลลอฮ์คือผู้ดูแลความพอเพียงของพวกเขาในโลกดุนยา และอัลลอฮ์คือพระเจ้าผู้ทรงเมตตาที่สุด และเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงพิพากษาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในวันกิยามะฮ์ (ปรโลก) ในตอนที่พระองค์จะทรงให้พวกเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาทั้งหมดจากหลุมฝังศพของพวกเขา และพระองค์คือผู้ทรงตอบแทนการงานที่ดีของบรรดาผู้ศรัทธา ความดีจะเท่ากับสิบเท่า และความชั่วจะไม่ทวีคูณ และพวกเขาจะได้รับความสุขนิรันดร์ในโลกอาคิเราะฮ์ (ปรโลก) และผู้ใดที่ปฏิเสธศรัทธาและกระทำความชั่วย่อมได้รับผลตอบแทนทั้งในโลกดุนยาและโลกอาคิเราะฮ์

และในสาสน์ของท่าน ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้เชิดชูเผ่าของท่าน หรือถิ่นกำเนิดของท่าน หรือตัวท่านเองอันมีเกียรติแต่อย่างใด แต่ในคัมภัร์อัลกรุอานจะมีชื่อบรรดาศาสดาต่าง ๆ เช่น นุห์ อิบรอฮีม มูซา อีซา อะลัยฮิมุสลาม ถูกกล่าวมากกว่าชื่อของท่านเสียอีก และชื่อของมารดาและบรรดาภรรยาของท่านก็ไม่ได้ถูกกล่าวในคัมภีร์อัลกรุอาน แต่ชื่อของมารดามูซาถูกกล่าวมากกว่าหนึ่งครั้ง และชื่อมัรยัม อะลัยฮัสลาม ถูกกล่าวในคัมภีร์อัลกรุอานมากถึงสามสิบห้าครั้ง

และท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นผู้มะอ์ซูม (ผู้ที่ได้รับการปกป้องจากความผิด) จากทุกสิ่งที่ขัดแย้งกับศาสนา สติปัญญา ฟิฏเราะห์ (ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์) หรือผิดกับศีลธรรมอันดีงาม เนื่องจากบรรดาศาสดา อะลัยฮิมุสลาม นั้นเป็นผู้มะอ์ซูม ในสิ่งที่เขาได้นำมาเผยแผ่เกี่ยวกับอัลลอฮ์ เพราะพวกเขามีหน้าที่ในการเผยแผ่พระบัญชาของอัลลอฮ์แก่ปวงบ่าวของพระองค์ และบรรดาศาสดาไม่ได้มีคุณลักษณะของความเป็นพระเจ้าแต่อย่างใด แต่ในทางกลับกันพวกเขาเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่น ๆ ที่อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงประทานสาสน์ของพระองค์แก่พวกเขา

และหนึ่งในหลักฐานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่บ่งบอกว่าสาสน์ของศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่าเป็นวะห์ยูจากอัลลอฮ์จริง คือการมีอยู่ของมันจนถึงทุกวันนี้ เช่นเดียวกับมันมีอยู่ในตอนที่ท่านมีชีวิต และมีชาวมุสลิมมากกว่าหนึ่งพันล้านคนที่ปฏิบัติตามข้อบังของศาสนาของท่าน เช่น การละหมาด การจ่ายซะกาต การถือศีลอด การประกอบพิธีหัจญ์ และอื่น ๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือบิดเบือนใด ๆ

5- สัญญาณ เครื่องหมายและหลักฐานต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงการเป็นศาสดาของท่าน

อัลลอฮ์ทรงให้การสนับสนุนบรรดาศาสดาของพระองค์ด้วยสัญญาณต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงการเป็นศาสดาของพวกเขา พร้อมกำหนดหลักฐานและข้อพิสูจน์ต่าง ๆ ที่เป็นประจักษ์พยานต่อสาสน์ของพวกเขา และแท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงประทานสัญญาณแก่ศาสดาทุกคนอย่างพอเพียงที่จะทำให้ผู้คนศรัทธา และสัญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่บรรดาศาสดาได้รับ คือสัญญานของท่านศาสดาของเรา มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานคัมภีร์อัลกรุอานอันทรงเกียรติให้แก่ท่าน ซึ่งเป็นสัญญาณถาวรที่จะคงอยู่จนถึงวันกิยามะฮ์ เช่นเดียวกันอัลลอฮ์ได้ทรงสนับสนุนท่านด้วยสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) ต่าง ๆ อันยิ่งใหญ่ โดยสัญญาณของท่านศาสดา (เราะซูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม มีมากมาย เช่น

อิสรออ์ (การเดินทางในค่ำคืนจากมักกะฮ์ไปยังมัสยิดอัลอักศอที่ปาเลสไตน์) มิอ์รอจญ์ (การเดินทางในค่ำคืนจากมัสยิดอัลอักศอไปยังฟากฟ้า) การแบ่งแยกของดวงจันทร์ และฝนที่ตกลงมาหลาย ๆ ครั้งหลังจากที่ท่านได้ขอพรจากอัลลอฮ์เพื่อให้ผู้คนได้ใช้น้ำหลังจากที่เกิดภัยแล้ง

ทำให้อาหารและน้ำที่มีจำนวนน้อย มีจำนวนที่มากขึ้น ทำให้ผู้คนจำนวนมากสามารถรับประทานและดื่มมันได้

สามารถเล่าเรื่องเร้นลับในอดีต ที่ไม่มีผู้ใดทราบถึงรายละเอียดของมัน โดยที่อัลลอฮ์ได้ทรงบอกท่านให้รู้ เช่น เรื่องราวต่าง ๆ ของบรรดาศาสดา อะลัยฮิมุสสลาม กับกลุ่มชนของพวกเขาและเรื่องราวของชาวถ้ำ

สามารถเล่าเรื่องเร้นลับในอนาคต ซึ่งได้เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา โดยที่อัลลอฮ์ได้ทรงบอกให้ท่านรู้ เช่น เรื่องราวของไฟที่ลุกโชนที่ออกจากแผ่นดินฮิญาซ (แคว้นทางตะวันตกของประเทศซาอุดีอาระเบีย) โดยคนที่อยู่อาศัยในเมืองชาม (ประเทศซีเรียและประเทศใกล้เคียง) ได้เห็นมัน และผู้คนจะแข่งกันสร้างตึกอาคารสูง ๆ

ความพอเพียงกับอัลลอฮ์ในการดูแลท่านและการปกป้องท่านจากผู้คน

สัญญาต่าง ๆ ของท่านที่ได้มีไว้กับบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านได้บรรลุผลจริง ดังคำกล่าวของท่านแก่พวกเขาที่ว่า: (แน่นอนพวกเจ้าจะได้พิชิตเปอร์เซียและโรมัน และแน่นอนพวกเจ้าจะได้ใช้สมบัติของพวกเขาทั้งสองในหนทางของอัลลอฮ์)

การสนับสนุนของอัลลอฮ์ที่มีต่อท่านด้วยบรรดามะลาอิกะฮ์

การแจ้งข่าวดีของบรรดาศาสดา อะลัยฮิมุสลาม ให้กับกลุ่มชนของพวกเขาเกี่ยวกับการเป็นศาสดา (เราะซูล) ของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม และส่วนหนึ่งจากบรรดาศาสดาที่แจ้งข่าวดีเกี่ยวกับท่าน ได้แก่ มูซา ดาวูด สุลัยมาน และอีซา อะลัยฮิมุสลาม และบรรดาศาสดาคนอื่น ๆ ของวงค์วานอิสรออีล

และด้วยหลักฐานทางปัญญาและตัวอย่างต่าง ๆ ที่ได้ยกมาที่ทำให้ผู้มีสติปัญญาที่ดียอมจำนนต่อมัน

สัญญาณ หลักฐาน และตัวอย่างทางปัญญาต่าง ๆ เหล่านี้ มีอยู่กระจัดกระจายในอัลกุรอานและซุนนะฮ์ของท่าน และสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเป็นศาสดาของท่านมีมากมายเกินกว่าจะจำกัดได้ ดังนั้นผู้ใดที่ต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญาณดังกล่าว ก็จงศึกษาในอัลกุรอาน หนังสือหะดีษและชีวประวัติของท่าน เพราะในนั้นมีเรื่องราวที่แน่นอนเชื่อถือได้เกี่ยวกับสัญญาณเหล่านี้

และหากสัญญาณอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ไม่เกิดขึ้น แน่นอนศัตรูของท่านจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาชาวกุเรซ ชาวยิวและชาวคริตส์ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอาหรับจะได้โอกาสในการปฏิเสธท่านและเตือนผู้คนไม่ให้เข้าใกล้ท่าน

อัลกรุอานอันมีเกียรติ เป็นคัมภีร์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่ศาสดา (เราะซูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และเป็นกะลามุลลอฮ์ (คำดำรัสของอัลลอฮ์) พระเจ้าแห่งสากลโลก และอัลลอฮ์ยังทรงท้าทายมนุษย์และญินให้นำมาซึ่งสิ่งที่เหมือนกับอัลกรุอานหรือเหมือนกับซูเราะฮ์เดียวในอัลกรุอาน และการท้าทายนี้ก็ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ คัมภีร์อัลกรุอานสามารถตอบคำถามที่สำคัญมากมายที่ทำให้ผู้คนหลายล้านคนแปลกใจกับมัน และคัมภีร์อัลกรุอานได้ถูกจัดเก็บรักษาไว้จนถึงทุกวันนี้ด้วยภาษาอาหรับ(ดังเดิม)ที่มันถูกประทานลงมา ซึ่งไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่ตัวอักษรเดียว และถูกตีพิมพ์อย่างแพร่หลาย เป็นคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ และเป็นคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มาถึงมนุษย์ ควรค่าแก่การอ่านหรืออ่านคำแปลความหมายของมัน และผู้ใดที่พลาดศึกษาและศรัทธาต่ออัลกรุอานแล้ว แน่นอนเขาได้พลาดสิ่งที่ดีทั้งปวง นอกจากนี้ ซุนนะฮ์ (แบบอย่าง) ของท่านศาสดา (เราะซูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม แนวทางและชีวประวัติของท่านก็ได้ถูกจัดเก็บรักษาและสืบทอดต่อ ๆ กันผ่านสายรายงานที่เชื่อถือได้ มันถูกตีพิมพ์ด้วยภาษาอาหรับซึ่งเป็นภาษาที่ท่านศาสดา (เราะซูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ใช้พูดคุย ราวกับว่าท่านอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเรา และมันได้ถูกแปลเป็นหลายภาษา อัลกุรอานและซุนนะฮ์ของท่านศาสดา (เราะซูลุลลอฮ์) ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ทั้งสองนี้เป็นแหล่งที่มาของคำตัดสินและบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม

6- บทบัญญัติของศาสนาที่ท่านศาสดา (เราะสูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมา

บทบัญญัติที่ท่านศาสดา (เราะซูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมานั้น คือบทบัญญัติแห่งอิสลามซึ่งเป็นบทบัญญติและสาสน์ฉบับสุดท้ายของอัลลอฮ์ มีรากฐานที่คล้ายคลึงกันกับบทบัญญัติของบรรดาศาสดาคนก่อน ๆ ถึงแม้ว่ารูปแบบและวิธีการจะแตกต่างกันไป

เป็นบทบัญญัติที่สมบูรณ์ที่สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัยและทุกสถานที่ (คำสอน)ในบทบัญญัตินี้จะทำให้ศาสนาและความเป็นอยู่ของมนุษย์บนโลกดุนยามีความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งมันได้รวมเรื่องการทำอิบาดะฮ์ (การเคารพภักดี) ทั้งหมดที่เป็นหน้าที่ของบ่าวที่ต้องปฏิบัติต่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก เช่น การละหมาดและจ่ายซะกาต และได้ชี้แจงการทำธุรกรรมทางการเงิน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การทหาร และสิ่งแวดล้อมที่เป็นที่อนุญาตและที่ต้องห้าม และสิ่งอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และการกลับไป(ยังปรโลก)ของพวกเขา

และเป็นบทบัญญัติที่ปกป้องศาสนา เลือดเนื้อ เกียรติยศ ทรัพย์สิน ปัญญาและลูกหลานของมวลมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยคุณธรรมและความชอบธรรมทั้งหมด และเตือนให้ระวังความชั่วร้ายและสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด และยังได้เชิญชวนไปสู่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเป็นสายกลาง ความยุติธรรม ความจริงใจ ความสะอาด ความสมบูรณ์แบบ ความรัก และชอบที่จะทำความดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ป้องกันการนองเลือด ความปลอดภัยของประเทศชาติ และห้ามการข่มขู่ผู้คนอย่างไม่เป็นธรรม และท่านศาสดา (เราะซูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ต่อต้านการละเมิดกดขี่ การสร้างความเสียหายในทุกรูปแบบ ความงมงาย และการถือสันโดษออกห่างจากผู้คน

และท่านศาสดา (เราะซูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ชี้แจงว่า อัลลอฮ์ได้ทรงให้เกียรติแก่มนุษย์ ทั้งชายและหญิง และรับประกันสิทธิ์ทั้งหมดของเขา และทำให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบในสิ่งที่เขาเลือก การงานของเขาและพฤติกรรมของเขาทั้งหมด และต้องรับผิดชอบต่อการงานต่าง ๆ ที่มีโทษต่อตัวเองหรือผู้อื่น และทำให้ชายและหญิงเท่าเทียมกันในด้านความศรัทธา ความรับผิดชอบ ผลตอบแทนและผลบุญ และในบทบัญญัตินี้จะดูแลเป็นพิเศษสำหรับผู้หญิงทั้งทีเป็นแม่ ภรรยา ลูกสาวและน้องสาวพี่สาว

บทบัญญัติที่ท่านศาสดา (เราะซูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมานั้น มาเพื่อรักษาสติปัญญา และห้ามทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเหตุทำให้เสียสติ เช่น การดื่มสุรา อิสลามได้ถือว่าศาสนานั้นคือแสงรัศมีที่ส่องทางให้แก่สติปัญญา เพื่อให้มนุษย์เคารพภักดีต่อพระเจ้าของเขาอย่างประจักษ์แจ้งและมีความรู้ ทั้งนี้บทบัญญัติอิสลามได้ยกระดับของสติปัญญาและได้ให้สติปัญญาเป็นเกณฑ์ในการรับหน้าที่ความรับผิดชอบ และปลดปล่อยมันให้พ้นจากการเป็นทาสของความงมงายและการบูชารูปปั้น

และบทบัญญัติอิสลามตระหนักถึงความรู้ที่ถูกต้อง ส่งเสริมการค้นคว้าทางวิชาการที่ปราศจากอารมณ์ใฝ่ต่ำ เชิญชวนให้มีการพินิจพิจารณาและไตร่ตรองถึงสิ่งมีชีวิตและโลก และผลลัพธ์ทางวิชาการที่ถูกต้องจะไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่ท่านศาสดา (เราะซูลุลลอฮ์) ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมา

ในบทบัญญัติอิสลามไม่มีการจำแนกเชื้อชาติใดเชื่อชาติหนึ่ง หรือยกย่องกลุ่มชนใดกลุ่มชนหนึ่ง แต่พวกเขาทั้งหมดเท่าเทียมกันต่อข้อกำหนดต่าง ๆ ของมัน เพราะต้นกำเนิดของมนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน และไม่มีเชื้อชาติใดจะดีกว่าอีกเชื้อชาติหนึ่งหรือกลุ่มชนใดจะดีกว่าอีกกลุ่มชนหนึ่งนอกจากความยำเกรง ท่านศาสดา (เราะซูลุลลอฮ์) ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ทารกทุกคนเกิดมาด้วยธรรมชาติอันบริสุทธ์ และไม่มีมนุษย์คนใดที่เกิดมาในสภาพที่มีความผิดหรือสืบทอดความผิดของผู้อื่น

ในบทบัญญัติอิสลาม อัลลอฮ์ทรงบัญญัติการเตาบะฮ์ (การกลับเนื้อกลับตัว) นั่นก็คือ การที่คน ๆ หนึ่งหันกลับไปหาพระเจ้าของเขาและละทิ้งการกระทำบาป อิสลามจะลบล้างบาปที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น และการเตาบะฮ์จะขจัดบาปที่เคยกระทำมาก่อนโดยไม่จำเป็นต้องสารภาพบาปต่อหน้าผู้คน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอัลลอฮ์ในอิสลามนั้นเป็นความสัมพันธ์โดยตรง เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเป็นคนกลางระหว่างเจ้ากับอัลลอฮ์ และอิสลามห้ามไม่ให้พวกเรานำเอามนุษย์มาเป็นพระเจ้า หรือมีภาคีร่วมกับอัลลอฮ์ในเรื่องรุบูบียะฮ์ (การเป็นพระเจ้า) หรืออุลูฮียะฮ์ (การเคารพภักดี) ของพระองค์

และบทบัญญัติที่ท่านศาสดา (เราะซูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมา ได้ยกเลิกบทบัญญัติก่อนหน้านี้ทุกฉบับ เพราะบทบัญญัติอิสลามที่มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมานั้นมาจากอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นบทบัญญัติฉบับสุดท้ายและจะคงอยู่จนถึงวันกิยามะฮ์ (วันฟื้นคืนชีพ) เป็นบทบัญญัติที่มีไว้สำหรับมนุษย์ทั้งโลก และนั่นคือเหตุผลของการยกเลิกบทบัญญัติที่ผ่านมา เช่นเดียวกับที่บทบัญญัติก่อนหน้านี้ได้ยกเลิกซึ่งกันและกัน และอัลลอฮ์ ตะอาลา ไม่ทรงรับบทบัญญัติอื่นนอกเหนือจากบทบัญญัติอิสลาม และไม่ทรงรับศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาอิสลามที่ท่านศาสดา (เราะซูลุลลอฮ์) ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมา และผู้ใดที่นับถือศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาอิสลามแล้ว ก็จะไม่ถูกตอบรับเป็นอันขาด และผู้ใดที่ต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับบทบัญญัติอิสลามนี้ก็จงค้นคว้าในหนังสือที่เชื่อถือได้ที่แนะนำเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม

แท้จริงจุดประสงค์ของบทบัญญัติอิสลาม ซึ่งก็เป็นจุดประสงค์เดียวกันกับสาสน์ทั้งหมดของอัลลอฮ์ นั่นก็คือ จะให้ศาสนาที่แท้จริงอยู่อย่างสูงส่งคู่เคียงมนุษย์ เพื่อให้เขาเป็นบ่าวที่บริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก และปลดปล่อยให้เขารอดพ้นจากการเป็นทาสของมนุษย์ หรือวัตถุ หรือความงมงาย

แท้จริงแล้วบทบัญญัติอิสลามสามารถใช้ได้ในทุกช่วงเวลาและสถานที่ และไม่มีสิ่งใดในบทบัญญัติอิสลามที่ขัดกับผลประโยชน์ที่ถูกต้องของมนุษย์ เพราะบทบัญญัติอิสลามถูกประทานลงมาจากอัลลอฮ์ ผู้ทรงรอบรู้ว่ามนุษย์ต้องการสิ่งใด และในตัวมนุษย์เองมีความต้องการบทบัญญัติที่ถูกต้องที่ไม่ขัดแย้งกันซึ่งกันและกัน ผลประโยชน์แห่งมวลมนุษยชาติไม่ควรที่มนุษย์คนใดคนหนึ่งจะเป็นผู้วางเอง แต่จะต้องได้รับจากอัลลอฮ์ เพื่อนำมนุษย์ไปสู่หนทางแห่งความดีงามและการชี้นำ และหากพวกเขาหันไปพึ่งพระองค์ กิจการของพวกเขาก็จะราบรื่นและพวกเขาจะรอดพ้นจากการถูกอธรรมซึ่งกันและกัน

7- จุดยืนของฝ่ายตรงข้าม และพยานหลักฐานของพวกเขาที่มีต่อท่าน

ไม่เป็นที่ต้องสงสัยเลยว่า นบี (ศาสดา) ทุกคนมีฝ่ายตรงข้ามที่คอยต่อต้านและขัดขวางการเรียกร้องเชิญชวนของท่าน รวมถึงการห้ามไม่ให้ผู้คนศรัทธาต่อท่าน ซึ่งท่านศาสดา (เราะซูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม มีฝ่ายตรงข้ามมากมาย ทั้งในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว และแท้จริงอัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ทรงช่วยเหลือท่านให้ประสบความสำเร็จเหนือพวกเขาทั้งหมด ทั้งนี้ได้มีประจักษ์พยานจากพวกเขาหลายคนติดต่อกันมาทั้งในอดีตและปัจจุบันว่าท่านเป็นศาสดา และท่านได้นำมาซึ่งสาสน์ที่เหมือนกับบรรดาศาสดา อะลัยฮิมุสสลาม ก่อนหน้าท่านได้นำมา โดยที่ฝ่ายตรงกันข้ามทราบดีว่าท่านอยู่บนสัจธรรม แต่มีข้อห้ามมากมายที่ขัดขวางพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ให้ศรัทธาต่อท่าน เช่น การรักตำแหน่งผู้นำ หรือการกลัวต่อสังคมมวลชน หรือการสูญเสียทรัพย์สินที่ได้มาจากตำแหน่งงานของเขา

และการสรรเสริญทั้งหลายนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก

เขียนโดย ศ.ดร.มุฮัมมัด บิน อับดุลลอฮ์ อัสสุหัยม์

อดีตอาจารย์อะกีดะฮ์ (หลักความเชื่อ) สาขาอิสลามศึกษา

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยคิงซุอูด

ริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย

ศาสดาแห่งอิสลาม มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

1- ชื่อ เชื้อสาย และถิ่นกำเนิดของท่าน

2-การแต่งงานที่ประเสริฐกับสตรีผู้ประเสริฐ

3- จุดเริ่มต้นของวะฮ์ยุ

สาสน์ของท่าน

5- สัญญาณ เครื่องหมายและหลักฐานต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงการเป็นศาสดาของท่าน

6- บทบัญญัติของศาสนาที่ท่านศาสดา (เราะสูล) มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมา

7- จุดยืนของฝ่ายตรงข้าม และพยานหลักฐานของพวกเขาที่มีต่อท่าน

معلومات المادة باللغة العربية