×

أنا مسلم (تايلندي)

إعداد: มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม อัลหัมด์

الوصف

رسالةٌ مختصرةٌ مترجمة إلى لغة التايلندية بيَّن فيها المُؤلِّف - أثابه الله - ما يأمرنا به الإسلام وأعظمها أركانَ الإيمان الستة وبعض العبادات والمعاملات التي يجب أن تتوفر في كل مسلم، وكل هذا بأسلوبٍ سهل، دقيق العبارة، مُبتعدًا عن التطويل والتفريع، وهو مفيد للناشئة والشباب ومن ليس عنده وقت للتوسُّع في كتب العقيدة والآداب الإسلامية.

تنزيل الكتاب

ฉันเป็นมุสลิม

เขียนโดย ดร. มุฮัมมัด บิน อิบรอฮีม อัลหัมด์

ฉันเป็นมุสลิม หมายความว่า ศาสนาของฉันคือศาสนาอิสลามคำว่าอิสลาม เป็นคำที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ที่สืบทอดกันโดยบรรดาศาสนทูต อะลัยฮิมุสสลาม ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้ายและคำนี้เป็นคำที่มีความหมายอันสูงส่งและคุณค่าอันยิ่งใหญ่ซึ่งหมายถึงการยอมจำนน การปฏิบัติตาม และการเชื่อฟังต่อพระเจ้าผู้ทรงสร้างและหมายถึงความสันติสุข ความปรองดอง ความสุข ความปลอดภัย และความสบายใจสำหรับบุคคลและกลุ่มชน

และด้วยเหตุนี้ คำว่าอัสสลามและอัลอิสลามเป็นคำที่ถูกกล่าวบ่อยที่สุดในบทบัญญัติของอิสลามและคำว่า อัสสลาม เป็นพระนามหนี่งจากหลายๆพระนามของอัลลอฮ์และคำทักทายของมุสลิมที่ใช้ทักทายระหว่างกันนั้น คือ คำว่า อัสสลามและการทักทายของชาวสวรรค์ ก็คือ สลามและผู้ที่เป็นมุสลิมอย่างแท้จริง คือผู้ที่บรรดามุสลิมปลอดภัยจากคำพูดและการกระทำของเขาดังนั้น ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งความดีสำหรับมวลมนุษยชาติ เป็นที่พอใจและเป็นทางไปสู่ความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้าและด้วยเหตุนี้ จึงเป็นศาสนาสุดท้ายที่ครอบคลุม มีความกว้างขวาง ชัดเจน และเปิดให้สำหรับทุกคน โดยไม่ทำให้เชื้อชาติใดเหนือกว่าเชื้อชาติหนึ่ง หรือสีผิวใดเหนือกว่าสีผิวหนึ่ง แต่เป็นศาสนาที่มองดูมนุษย์ด้วยการมองที่เท่าเทียมกันและไม่มีใครจะมีความโดดเด่นในศาสนาอิสลาม นอกจากในขอบเขตที่เขาได้ยึดมั่นตามคำสอนของอิสลาม

และด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่ยอมรับของทุกชีวิตที่ปกติ เพราะเป็นศาสนาที่สอดคล้องกับสัญชาตญาณมนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับหัวใจที่ชอบในความดี ความยุติธรรม และความเป็นอิสระ รักพระเจ้าของเขา ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวที่คู่ควรแก่การเคารพสักการะเหนือสิ่งอื่นใดไม่มีผู้ใดผันออกจากธรรมชาตินี้ ยกเว้นมีผู้ที่เปลี่ยนแปลงมันและศาสนานี้ได้รับการอนุมัติสำหรับมนุษย์โดยผู้สร้างมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงอภิบาลของพวกเขา และผู้ทรงเป็นที่เคารพสักการะของพวกเขา

ศาสนาของฉัน คือศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่สอนฉันว่า ฉันจะมีชีวิตในโลกนี้ และหลังจากที่ฉันตาย ฉันก็จะย้ายไปสู่อีกที่หนึ่ง มันเป็นที่พำนักที่ชั่วนิรันดร์ ซึ่งเป็นที่สุดท้ายสำหรับมนุษย์ไม่ว่าจะไปสวรรค์หรือนรก

ศาสนาอิสลามของฉันสั่งให้ฉันปฏิบัติตามคำสั่งและห้ามไม่ให้ฉันทำสิ่งที่ต้องห้ามดังนั้น เมื่อฉันได้ปฏิบัติตามคำสั่งเหล่านั้น และห่างไกลจากสิ่งที่ต้องห้าม ทำให้ฉันมีความสุขทั้งในโลกนี้ และโลกหน้าและถ้าฉันละเลยไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้น ความทุกข์ยากในโลกนี้และโลกหน้าก็จะเกิดขึ้น เทียบเท่ากับการละเลยและความบกพร่องของฉันที่ได้ทำไป

และคำสั่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ศาสนาอิสลามได้สั่งใช้นั้น คือการศรัทธาในความเป็นเอกะของอัลลอฮ์ดังนั้น ฉันขอเป็นพยาน ฉันขอยึดมั่นด้วยการยึดมั่นที่มั่นคงว่า อัลลอฮ์คือผู้ทรงสร้างฉัน และเป็นพระเจ้าที่ฉันต้องเคารพสักการะฉันจะไม่เคารพสักการะต่อสิ่งใดๆ นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น ด้วยการรักพระองค์ กลัวต่อการลงโทษของพระองค์ หวังในการตอบแทนจากพระองค์ และมอบหมายต่อพระองค์และการศรัทธาในความเป็นเอกะของพระองค์นั้น แสดงถึงการเป็นพยานต่ออัลลอฮ์ในความเป็นเอกะของพระองค์ และเป็นพยานต่อมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในการเป็นเราะซูลของท่านมูฮัมมัด คือนบีท่านสุดท้าย ที่อัลลอฮ์ได้ส่งมาเพื่อเป็นความเมตตาแก่ประชาชาติทั้งหลาย และเป็นที่สิ้นสุดแห่งการเป็นนบี และการเป็นเราะซูล ดังนั้นจะไม่มีนบีอีกต่อไปหลังจากท่านและแท้จริง ท่านได้มาพร้อมกับศาสนาที่ครอบคลุม ที่ใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย ทุกสถานที่ และทุกประชาชาติ

และศาสนาของฉันได้สั่งฉันอย่างเคร่งครัดให้ศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮ์ และศาสนทูตทั้งหมด ที่ยิ่งใหญ่ในหมู่พวกเขาคือ นูห์ อิบรอฮีม มูซา อีซา และมูฮัมมัด อะลัยฮิมุสสลาม

ศาสนาของฉันได้สั่งฉันให้ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์แห่งฟากฟ้าที่ถูกประทานลงมาแก่บรรดาเราะซูล และตามด้วยเล่มสุดท้าย เป็นเล่มสิ้นสุดของบรรดาคัมภีร์ และเป็นคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือ คัมภีร์อัลกุรอาน

และศาสนาของฉัน ได้สั่งฉันให้ศรัทธาต่อวันอาคิเราะฮ์ (วันอวสาน) ซึ่งเป็นวันที่มนุษย์จะได้รับการตอบแทนสำหรับทุกการกระทำของพวกเขาศาสนาของฉันได้สั่งให้ฉันศรัทธาต่อกฎกำหนดสภาวการณ์ และให้ฉันพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีและไม่ดีก็ตาม และสั่งให้ฉันใช้ชีวิตบนหลักของเหตุและผลในการอยู่รอด

และการศรัทธาต่อกำหนดสภาวการณ์นั้นทำให้ฉันสบายใจ สงบ อดทน และยับยั้งตัวเองไม่ให้เสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วเพราะฉันรู้แน่ว่าสิ่งใดที่ประสบกับฉันมันจะไม่พลาดแน่นอน และสิ่งใดที่จะไม่เกิดขึ้นกับฉัน มันก็จะไม่ประสบกับฉัน(เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเกิดขึ้นกับฉัน)ดังนั้นทุกสิ่งเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดและถูกบันทึกไว้แล้วโดยอัลลอฮ์ และสิ่งที่จำเป็นสำหรับฉันคือ การอยู่บนหลักของเหตุผล และพอใจกับผลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

อิสลามสั่งให้ฉันทำในสิ่งที่เป็นการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการทำความดีต่างๆ และการมีจรรยามารยาทอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าของฉันพอพระทัย ชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ทำให้ใจเป็นสุข ทำให้อกของฉันรู้สึกโล่ง ชี้ทางสว่างให้แก่ฉัน และทำให้ฉันเป็นสมาชิกคนหนึ่งที่มีประโยชน์ของสังคม

และการปฏิบัติที่สำคัญที่สุดคือ: การศรัทธาในความเป็นเอกะของอัลลอฮ์ ละหมาดห้าเวลาในวันหนึ่งและคืนหนึ่ง จ่ายซะกาต ถือศีลอดหนึ่งเดือนในหนึ่งปี คือเดือนเราะมะฎอน และประกอบพิธีฮัจญ์ที่มักกะฮ์สำหรับผู้ที่มีความสามารถ

และหนึ่งในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ศาสนาของฉันได้ชี้แนะที่เป็นสิ่งให้ฉันสบายใจ คือการอ่านอัลกุรอานบ่อยๆ ซึ่งเป็นพระวจนะของอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นคำพูดที่เป็นความจริงที่สุด สวยงามที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด และหรูหราที่สุดที่ครอบคลุมความรู้ตั้งแต่ประชาชาติแรก และประชาชาติสุดท้ายดังนั้น การอ่านและการฟังอัลกุรอานนั้น ทำให้ความสงบ ความสบายใจและความสุขได้เข้าสู่หัวใจ แม้คนที่อ่านหรือคนที่ฟังนั้นจะไม่เข้าใจในภาษาอาหรับก็ตาม หรือแม้จะไม่ใช่มุสลิมก็ตาม

และสิ่งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำจิตใจมีความสุข คือการวิงวอนต่ออัลลอฮ์บ่อยๆ การกลับใจเข้าหาพระองค์ และขอต่อพระองค์ในทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เล็กหรือใหญ่ก็ตามและอัลลอฮ์จะทรงตอบรับการวิงวอนของผู้ที่วิงวอนต่อพระองค์ และเคารพสักการะพระองค์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ

และสิ่งที่ยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งที่ทำให้จิตใจมีความสุข คือการรำลึกถึงอัลลอฮ์มากๆ

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แนะฉันถึงวิธีการรำลึกถึงอัลลอฮ์ และได้สอนฉันถึงบทรำลึกที่ดีที่สุดและส่วนหนึ่งจากบทรำลึกนั้น คือคำทั้งสี่ที่เป็นคำที่ประเสริฐที่สุดหลังจากอัลกุรอาน คำทั้งสี่นั้นคือ (سبحان الله والحمدلله ولاإله إلا الله والله أكبر)*

และเช่นกันคือคำว่า (أستغفر الله ولا حول ولا قوة إلا بالله)*

และบทรำลึกเหล่านี้มีผลที่ดีมากในการทำให้จิตใจโล่งสบาย และทำให้ความสงบสุขเข้าสู่หัวใจ

และศาสนาอิสลามได้สั่งให้ฉันรักษาศักดิ์ศรี ให้ห่างไกลจากทุกสิ่งที่ทำให้ศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ของฉันเสื่อมเสียและสั่งให้ฉันใช้สติปัญญาและอวัยวะต่างๆ ของร่างกายสำหรับการกระทำที่ดีที่มีประโยชน์ทั้งทางศาสนาและทางโลก

และศาสนาอิสลามสั่งให้ฉันมีความเมตตา มีศีลธรรม ปฏิบัติดี และทำดีต่อผู้อื่นให้มากที่สุดที่ฉันสามารถทำได้ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ

และสิทธิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากบรรดาสิทธิต่างๆ ของมนุษย์ คือสิทธิของบิดามารดา ศาสนาของฉันสั่งให้ฉันทำดีต่อท่านทั้งสอง รักในสิ่งที่ดีต่อพวกเขา มีความกระตือรือร้นในการทำให้พวกเขามีความสุข และให้ผลประโยชน์แก่พวกเขา โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองแก่ชราและด้วยเหตุนี้ ท่านจะเห็นผู้ที่เป็นพ่อแม่ในสังคมอิสลามนั้นจะอยู่ในสถานะที่สูงในด้านการให้เกียรติ ความเคารพ และการบริการรับใช้จากลูกๆ ของพวกเขาและเมื่อทั้งสองได้แก่ชราลง หรือประสบกับโรคภัยไข้เจ็บ หรือเกิดความอ่อนแอลง ลูกๆ ของพวกเขาก็จะยิ่งทำดีต่อพวกเขามากขึ้น

และศาสนาของฉันได้สอนฉันว่า ผู้หญิงนั้นมีศักดิ์ศรีที่สูงส่งและสิทธิต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่ผู้หญิงในศาสนาอิสลามนั้นมีความเท่าเทียมกับผู้ชาย ดังนั้น คนที่ดีที่สุด คือคนที่ทำดีที่สุดต่อครอบครัวของเขาเมื่อสตรีมุสลิมะฮ์ยังเป็นเด็ก นางมีสิทธิที่จะได้รับนมจากแม่ ได้รับการดูแล และการเลี้ยงดูที่ดี และในเวลาเดียวกันนั้น ก็เป็นแก้วตาดวงใจ และเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับพ่อแม่และพี่น้องของนาง

และเมื่อนางโตขึ้น นางก็จะเป็นผู้ที่มีความสำคัญและเป็นที่เคารพนับถือ ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้ปกครองคอยเป็นห่วง และให้ความสำคัญด้วยการเอาใจใส่ผู้ปกครองจะไม่ยอมที่จะให้มีมือใดๆ หรือคำพูดใดๆ มาทำร้ายนาง หรือสายตาใดๆ ที่ทรยศหักหลัง

และเมื่อนางแต่งงาน การแต่งงานนั้นก็จะเป็นไปตามคำสั่งของอัลลอฮ์ และอยู่ภายใต้พันธสัญญาที่เข้มงวดของพระองค์นางจะอยู่ในบ้านสามีของนางในฐานะคนใกล้ชิดที่มีเกียรติที่สุดและเป็นหน้าที่ของสามีที่จะต้องให้เกียรตินาง เมตตาต่อนาง และไม่ทำร้ายนาง

และเมื่อใดที่นางเป็นแม่ การทำดีต่อนางจะตามมาเป็นรองจากสิทธิของอัลลอฮ์ การเนรคุณและการทำร้ายนางนั้นเป็นบาปใหญ่รองจากการตั้งภาคี และการสร้างความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน

และถ้านางเป็นพี่สาวหรือน้องสาว นางก็เป็นคนที่มุสลิมทุกคนได้รับคำสั่งให้รักษาความสัมพันธ์กับนาง ให้เกียรตินาง และคอยเป็นห่วงนางและหากนางอยู่ในสถานะเป็นป้า สถานะของนางก็เทียบเท่ากับผู้เป็นแม่ทั้งในด้านการทำดีและการสร้างสัมพันธ์

และถ้านางอยู่ในสถานะเป็นคุณย่าหรือคนสูงอายุ ความสำคัญของนางก็จะเพิ่มมากขึ้นในสายตาของลูกๆ หลานๆ และญาติๆ ของนางทุกคน คำขอของนางแทบไม่เคยถูกปฏิเสธ และความคิดเห็นของนางก็ไม่เคยถูกมองข้ามไป

และหากนางเป็นคนห่างไกลจากผู้คน ไม่ว่าจากผู้เป็นญาติหรือเพื่อนบ้าน นางก็มีสิทธิทั่วไปในศาสนาอิสลามคือต้องไม่ทำอันตรายต่อนาง และต้องลดสายตาลง และอื่นๆ

สังคมมุสลิมยังคงให้ความสำคัญต่อสิทธิเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยให้ความสำคัญแก่ผู้หญิง และให้คุณค่าแก่นาง โดยสิทธิต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีในสังคมที่ไม่ใช่มุสลิม

จากนั้น ในศาสนาอิสลาม ผู้หญิงมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ให้เช่า ซื้อและขาย และการทำสัญญาต่างๆ เช่นเดียวกับสิทธิในการศึกษาหาความรู้ การสอน และการทำงาน ในลักษณะที่ไม่ขัดกับศาสนาของนางยิ่งกว่านั้น บางครั้งความรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นเหนือทุกคน ถือเป็นบาปหากละทิ้งมันไป ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง

ยิ่งกว่านั้น นางมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้ชาย เว้นแต่สิทธิบางประการที่เฉพาะสำหรับนางซึ่งผู้ชายไม่มีสิทธิ หรือสิทธิเฉพาะสำหรับผู้ชายและผู้หญิงไม่มีสิทธิ ในแง่ของสิทธิต่างๆ และบทบัญญัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งชายและหญิง ซึ่งจะกล่าวละเอียดในแต่ละประเด็น

ศาสนาของฉันสั่งให้ฉันรักพี่น้อง ลุง ป้า น้า อา และญาติพี่น้องทุกคน และสั่งให้ฉันปฏิบัติตามสิทธิของภรรยา ลูกๆ และเพื่อนบ้าน

ศาสนาของฉันสั่งให้ฉันแสวงหาความรู้ และส่งเสริมให้ฉันทำทุกอย่างด้วยสติปัญญา จรรยามารยาท และความคิดเพื่อการพัฒนาที่ดีขึ้น

ศาสนาอิสลามสั่งให้ฉันเป็นคนสุขุม อ่อนโยน ใจกว้าง กล้าหาญ ฉลาด มีความเยือกเย็น อดทน ซื่อสัตย์ ถ่อมตน มีความบริสุทธิ์ จริงใจ มีคุณธรรม หวังดีต่อผู้อื่น ทำงานหาเลี้ยงชีพ เมตตาต่อคนจน เยี่ยมเยียนคนป่วย รักษาสัญญา พูดจาไพเราะ พบปะผู้คนอย่างร่าเริง และพยายามทำให้พวกเขามีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในทางกลับกัน ศาสนาอิสลามได้เตือนฉันให้ระวังความโง่เขลา และห้ามฉันจากการปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธการมีของพระเจ้า ห้ามเนรคุณ การผิดศีลธรรม การล่วงประเวณี การเบี่ยงเบนทางเพศ ความเย่อหยิ่ง ความอิจฉาริษยา ความเกลียดชัง คิดในทางที่ไม่ดี การมองโลกในแง่ร้าย ความโศกเศร้า การโกหก ความสิ้นหวัง ความตระหนี่ ความเกียจคร้าน ความขี้ขลาด การว่างงาน ความโกรธ ความประมาท ความโง่เขลา ทำไม่ดีต่อคนอื่น พูดมากเกินไปโดยไม่เกิดประโยชน์ เปิดเผยความลับ ทรยศ ผิดสัญญา เนรคุณต่อพ่อแม่ ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ ไม่ให้ความสำคัญกับลูกๆ สร้างความเดือดร้อนต่อเพื่อนบ้านและสังคมโดยรวม

อิสลามยังห้ามไม่ให้ฉันดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามใช้ยาเสพติด เล่นการพนัน ขโมย หลอกลวง ใช้เล่ห์เหลี่ยม ข่มขู่ผู้อื่น สอดแนมพวกเขา และติดตามข้อผิดพลาดของพวกเขา

ศาสนาของฉันรักษาทรัพย์สิน และในการนี้จึงเผยแพร่ความสันติสุขและความปลอดภัย และด้วยเหตุนี้อิสลามจึงส่งเสริมเรื่องความซื่อสัตย์ และยกย่องผู้ที่มีความซื่อสัตย์ และได้สัญญาว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีและได้เข้าสวรรค์ในวันอาคิเราะฮ์ อิสลามห้ามการลักขโมย และสัญญาว่าจะลงโทษผู้ที่กระทำทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า

ศาสนาของฉันรักษาชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงห้ามไม่ให้มีการฆ่าชีวิตผู้ใดโดยไม่ถูกต้อง และห้ามทำร้ายผู้อื่นไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม แม้จะเป็นคำพูดก็ตาม

ยิ่งกว่านั้น ศาสนาของฉันห้ามมิให้บุคคลทำร้ายตัวเอง ไม่อนุญาตทำลายสติปัญญาของตัวเอง ทำลายสุขภาพ หรือฆ่าตัวตาย

ศาสนาอิสลามของฉัน ได้ให้เสรีภาพและกำหนดกรอบเพราะในศาสนาอิสลามนั้น บุคคลมีอิสระที่จะคิด ซื้อ ขาย ค้าขาย และการเดินทาง และมีอิสระที่จะเพลิดเพลินกับความสุขของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า หรือเสียง ตราบใดที่เขาไม่กระทำสิ่งต้องห้ามที่กระทบต่อตัวเองหรือต่อผู้อื่น

ศาสนาของฉันกำหนดกรอบแห่งเสรีภาพ ดังนั้น ไม่อนุญาตให้บุคคลใดทำอันตรายต่อผู้อื่น ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามที่หลงระเริงไปกับความสุขที่ต้องห้ามที่เป็นการทำลายทรัพย์สิน ความสุข และความเป็นมนุษย์ของเขา

หากท่านสังเกตผู้ที่ให้ความอิสรภาพแก่ตนเองในทุกสิ่ง และมอบความอิสระนั้นทั้งหมดตามความปรารถนาของตัวเอง โดยไม่มีการยับยั้งด้วยหลักศาสนาหรือเหตุผลทางปัญญา แน่นอน ท่านจะเห็นว่าพวกเขามีชีวิตในสภาพที่ต่ำสุดของความทุกข์ยากและมีชีวิตที่ไม่มีความสุข และท่านจะเห็นบางคนในจำนวนนั้นต้องการฆ่าตัวตาย เพื่อต้องการหนีออกจากความวิตกกังวลของชีวิต

ศาสนาของฉันสอนถึงมารยาทที่สูงส่ง ทั้งมารยาทในการกิน ดื่ม นอน และมารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น

ศาสนาของฉันสอนฉันเรื่องความใจกว้างในการซื้อและการขาย และในการเรียกร้องสิทธิ์และศาสนาสอนให้ฉันมีน้ำใจกับกลุ่มที่เห็นต่างในเรื่องศาสนา ดังนั้นฉันไม่กดขี่พวกเขา จะไม่ทำร้ายพวกเขา แต่ฉันทำดีต่อพวกเขา และฉันหวังว่าความดีจะถึงพวกเขา

ประวัติศาสตร์ของมุสลิมเป็นพยานถึงการมีน้ำใจต่อกลุ่มที่เห็นต่าง ซึ่งเป็นการมีน้ำใจที่ไม่เคยพบเห็นในประชาชาติก่อนหน้าพวกเขาแท้จริงชาวมุสลิมได้เคยอาศัยอยู่ร่วมกับประชาชาติจากศาสนาต่างๆ และอยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิม ปรากฏว่าบรรดามุสลิมพร้อมกับพวกเขาต่างก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขที่สุดเมื่อเทียบกับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในหน้าประวัติศาสตร์

โดยรวมแล้ว อิสลามได้สอนฉันเกี่ยวกับจริยธรรมอย่างละเอียด ความงามของการมีปฏิสัมพันธ์ การมีศีลธรรมอันสูงส่งที่ยกระดับชีวิตของฉันและทำให้ความสุขของฉันสมบูรณ์แบบและศาสนาของฉันห้ามฉันจากสิ่งที่ทำให้ชีวิตของฉันมัวหมอง และสิ่งที่เป็นอันตรายต่อองค์กรทางสังคม ต่อชีวิต สติปัญญา ทรัพย์สิน เกียรติยศและศักดิ์ศรี

ยิ่งฉันปฏิบัติตามคำสอนเหล่านั้นมากเท่าไร ความสุขของฉันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นและยิ่งฉันละเลยและละทิ้งคำสอนเหล่านั้นมากเท่าไร ความสุขของฉันก็ยิ่งลดน้อยลงมากเท่านั้น

สิ่งที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ไม่ได้แสดงว่าฉันเป็นคนที่บริสุทธิ์ ไร้ความผิด และไม่บกพร่อง ศาสนาของฉันให้ความสำคัญต่อคุณลักษณะของฉันในฐานะมนุษย์ และความอ่อนแอของฉันซึ่งบางครั้งทำให้เกิดข้อผิดพลาด ความประมาทเลินเล่อ และการหลงลืม ดังนั้นพระองค์จึงทรงเปิดประตูแห่งการเตาบะฮ์ (การกลับใจ) อิสติฆฟาร(การขออภัยโทษ) และกลับไปสู่อัลลอฮ์ ดังนั้น การเตาบะฮ์ ช่วยขจัดผลที่ไม่ดีของความชั่วร้ายของฉัน และยกระดับตำแหน่งของฉันกับพระเจ้าของฉัน

และทุกคำสอนของศาสนาอิสลามนั้น ไม่ว่าในด้านความเชื่อ ศีลธรรม จริยธรรม และการธุรกรรมล้วนมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์

สุดท้ายนี้ ฉันขอกล่าวด้วยความมั่นใจว่า หากมนุษย์คนใดไม่ว่าอยู่ที่ใดในโลกนี้ ได้ทำการศึกษาถึงความจริงของศาสนาอิสลามด้วยสายตาที่ยุติธรรมและปราศจากอคติ เขาจะเข้ารับอิสลามอย่างแน่นอน แต่ปัญหาคือศาสนาอิสลามถูกบิดเบือนโดยการโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นเท็จ หรือโดยการกระทำของบางกลุ่มที่ไม่เป็นที่ยอมรับ

และหากผู้ใดได้ตรวจดูถึงความจริงของมันอย่างแท้จริง หรือสภาพของผู้ที่เป็นมุสลิมที่ยืนหยัดบนหลักศาสนาอย่างแท้จริง ย่อมมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ลังเลที่จะยอมรับและเข้ารับอิสลามอย่างแน่นอนและจะเกิดความกระจ่างสำหรับเขาว่าศาสนาอิสลามนั้น เรียกร้องผู้คนสู่ความสุข ขยายสันติภาพและความปลอดภัย และเรียกร้องสู่ความยุติธรรมและความดีงาม

ส่วนการเบี่ยงเบนของบางคนที่นับถือศาสนาอิสลามไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ไม่ควรถือสิ่งเหล่านั้นเป็นศาสนา หรือตำหนิศาสนาอิสลามเพราะการเบี่ยงเบนนั้น แต่ศาสนาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการเบี่ยงเบนนั้นผลที่ตามมาจากความเบี่ยงเบนนั้นจะกลับมาสู่ตัวผู้ที่เบี่ยงเบนนั้นเอง เพราะศาสนาอิสลามไม่ได้สั่งพวกเขาในเรื่องนี้ แต่ศาสนาได้ห้ามและตำหนิพวกเขาที่มีต่อการเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นนั้น

จากนั้น ความยุติธรรมที่แท้จริงคือการมองดูสภาพของผู้ที่ดำรงอยู่กับศาสนาอย่างแท้จริง และเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งและบทบัญญัติทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น สิ่งนี้จะทำให้หัวใจเต็มไปด้วยการเคารพและให้เกียรติต่อศาสนานี้และต่อผู้ที่เป็นมุสลิมศาสนาอิสลามมิได้ละเว้นการแนะนำสู่ความดีและการขัดเกลาไม่ว่าน้อยหรือมากนอกจากจะสนับสนุนในสิ่งนั้น และไม่มีความชั่วหรือความเสียหายใดๆ นอกจากอิสลามการตักเตือนและขัดขวางเส้นทางนั้น

ดังนั้นผู้ที่เชิดชูศาสนาและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของมัน เขาจะเป็นบุคคลที่มีความสุขที่สุด อยู่ในจุดที่สูงที่สุดของการเป็นคนที่มีวินัยในตนเอง ขัดเกลาตนเองด้วยค่านิยมทางศีลธรรมอันดี และมีอุปนิสัยอันสูงส่ง ทั้งคนใกล้และไกล ผู้สนับสนุนหรือฝ่ายตรงข้ามต่างเป็นพยาน

หากเพียงมองดูสภาพของมุสลิมที่ไม่สนใจในศาสนาของตน และหันเหไปจากแนวทางที่เที่ยงตรงนั้น มันเป็นการตัดสินที่ไม่ยุติธรรมเลยแม้แต่น้อย และมันคือความอยุติธรรมนั่นเอง

สุดท้ายนี้ นี่คือการเรียกร้องสำหรับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม เพื่อให้เขาได้รู้จักศาสนาอิสลามอย่างถูกต้องและเข้าสู่การนับถือศาสนาอิสลาม

และไม่มีสิ่งใดสำหรับผู้ที่ต้องการนับถือศาสนาอิสลาม นอกจาก แค่เพียงกล่าวคำปฏิญาณว่า (อัชฮะดู อัลลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ วะอันนะ มุฮัมมะดัรเราะซูลุลลอฮ์) "ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์"และเรียนรู้ศาสนา เพื่อเขาจะได้ปฏิบัติในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงบัญญัติสำหรับเขายิ่งเขาเรียนรู้และปฏิบัติมากเท่าไร ความสุขและสถานะของเขากับพระเจ้าก็จะสูงขึ้นเท่านั้น

معلومات المادة باللغة الأصلية