×
جدبد!

تطبيق موسوعة بيان الإسلام

احصل عليه الآن!

الخوف من الله (تايلندي)

إعداد: อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์

الوصف

مقالة مترجمة إلى اللغة التايلندية مقتبسة من كتاب الدرر المنقاة من الكلمات الملقاة، للشيخ الدكتور أمين بن عبد الله الشقاوي، ويذكر فيها أن الخوف من الله من أفضل مقامات الدين وأجملها، وأجمع أنواع العبادة التي يجب إخلاصها للَّه تعالى، وتبين هذه المقالة أنواع الخوف مثل: الخوف الطبيعي، والخوف المنهي عنه، والخوف الواجب وهو الخوف من الله عز وجل.

تنزيل الكتاب

    การเกรงกลัวอัลลอฮฺ

    ] ไทย – Thai – تايلاندي [

    ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์

    แปลโดย : อุศนา พ่วงศิริ

    ตรวจทานโดย : อัสรัน นิยมเดชา

    ที่มา : หนังสือ อัด-ดุร็อรฺ อัล-มุนตะกอฮฺ มิน อัล-กะลีมาต อัล-มุลกอฮฺ

    2014 - 1435


    الخوف من الله

    « باللغة التايلاندية »

    د. أمين بن عبدالله الشقاوي

    ترجمة: حسنى فوانجسيري

    مراجعة: عصران نيومديشا

    المصدر: كتاب الدرر المنتقاة من الكلمات الملقاة

    2014 - 1435

    ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

    การเกรงกลัวอัลลอฮฺ

    มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ขอความสุขความจำเริญและความสันติจงประสบแด่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ไม่มีภาคีใด ๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ และเป็นศาสนทูตของพระองค์

    การเกรงกลัวอัลลอฮฺนั้นถือเป็นระดับขั้นหนึ่งของความศรัทธา ที่มีความสำคัญและมีความประเสริฐมากที่สุด และเป็นการงานที่จำเป็นต้องมีความอิคลาศบริสุทธิ์ใจเป็นเงื่อนไขสำคัญ อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสถึงชาวสวรรค์ว่า

    ﴿ قَالُوٓاْ إِنَّا كُنَّا قَبۡلُ فِيٓ أَهۡلِنَا مُشۡفِقِينَ ٢٦ فَمَنَّ ٱللَّهُ عَلَيۡنَا وَوَقَىٰنَا عَذَابَ ٱلسَّمُومِ ٢٧ ﴾ [الطور: ٢٥-٢٦]

    “พวกเขากล่าวว่า แท้จริง แต่ก่อนนี้ (ในโลกดุนยา) พวกเราอยู่กับครอบครัวของเราเป็นผู้วิตกกังวล ดังนั้น อัลลอฮฺได้ทรงโปรดปรานแก่เรา และได้ทรงปกป้องเราให้พ้นจากการลงโทษแห่งลมร้อน” (อัฏฏูรฺ: 26-27)

    และพระองค์ตรัสว่า

    ﴿ وَلِمَنۡ خَافَ مَقَامَ رَبِّهِۦ جَنَّتَانِ ٤٦ ﴾ [الرحمن: ٤٦]

    “และสำหรับผู้ที่ยำเกรงต่อการยืนหน้าพระพักตร์แห่งพระเจ้า (เขาจะได้) สวนสวรรค์สองแห่ง” (อัรเราะหฺมาน: 46)

    พระองค์ตรัสอีกว่า

    ﴿ وَأَمَّا مَنۡ خَافَ مَقَامَ رَبِّهِۦ وَنَهَى ٱلنَّفۡسَ عَنِ ٱلۡهَوَىٰ ٤٠ فَإِنَّ ٱلۡجَنَّةَ هِيَ ٱلۡمَأۡوَىٰ ٤١ ﴾ [النازعات: 40-41]

    “และผู้ที่หวาดหวั่นต่อการยืนเบื้องหน้าพระเจ้าของเขา และได้หน่วงเหนี่ยวจิตใจจากกิเลสใฝ่ต่ำ ดังนั้นสวนสวรรค์ก็จะเป็นที่พำนักของเขา” (อันนาซิอาต: 40-41)

    ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

    « سَبْعَةٌ يُظِلُّهُمُ اللهُ فِيْ ظِلِّهِ يَوْمَ لَا ظِلَّ إِلَّا ظِلُّهُ، وذكر منهم: رَجُلٌ طَلَبَتْهُ امْرَأَةٌ ذَاتُ مَنْصِبٍ وَجَمَالٍ، فَقَالَ : إِنِّي أَخَافُ اللهَ » [رواه البخاري برقم 1423 ومسلم برقم 1031]

    ความว่า “มีคนเจ็ดประเภทที่พระองค์อัลลอฮฺจะทรงให้พวกเขาได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของพระองค์ ในวันที่ไม่มีร่มเงาใดๆนอกจากร่มเงาของพระองค์... (และหนึ่งในเจ็ดกลุ่มที่ท่านกล่าวถึงก็คือ) ชายซึ่งได้รับการเชิญชวนจากหญิงสาวที่เพียบพร้อมด้วยฐานะและความงามให้กระทำสิ่งที่ผิด แต่เขากลับตอบนางว่า ฉันเกรงกลัวพระเจ้าของฉัน” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 1423 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 1031)

    ชัยคฺ อับดุรเราะหฺมาน บิน หะสัน อาลัชชัยคฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า ความกลัวนั้นแบ่งออกเป็นหลายประเภท

    ประเภทแรก การกลัวอำนาจเร้นลับ หมายถึงการกลัวสิ่งอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ ไม่ว่าจะเป็นเจว็ด หรือรูปบูชา โดยกลัวว่าสิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ตรัสถึงคำพูดของกลุ่มชนนบีฮูดว่า

    ﴿ إِن نَّقُولُ إِلَّا ٱعۡتَرَىٰكَ بَعۡضُ ءَالِهَتِنَا بِسُوٓءٖۗ قَالَ إِنِّيٓ أُشۡهِدُ ٱللَّهَ وَٱشۡهَدُوٓاْ أَنِّي بَرِيٓءٞ مِّمَّا تُشۡرِكُونَ ٥٤ مِن دُونِهِۦۖ فَكِيدُونِي جَمِيعٗا ثُمَّ لَا تُنظِرُونِ ٥٥ ﴾ [هود: ٥٤-٥٥]

    “เราจะไม่กล่าวอย่างใด เว้นแต่พระเจ้าบางองค์ของเราได้นำความชั่วเข้าไปสิงในตัวท่าน เขา (ฮูด) กล่าวว่า แท้จริงฉันให้อัลลอฮฺทรงเป็นพยาน แล้วพวกท่านจงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงฉันปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านตั้งภาคีอื่นจากพระองค์ ดังนั้น พวกท่านทั้งหมดจงวางแผนทำร้ายฉันเถิด แล้วพวกท่านอย่าได้ให้ฉันต้องรอคอยเลย” (ฮูด: 54-55)

    และพระองค์ตรัสว่า

    ﴿ وَيُخَوِّفُونَكَ بِٱلَّذِينَ مِن دُونِهِۦۚ ﴾ [الزمر: ٣٥]

    “และพวกเขายังขู่เจ้าให้กลัวด้วยเจว็ดต่าง ๆ อื่นจากพระองค์” (อัซซุมัรฺ: 36)

    และนี่คือสภาพความเป็นจริงของพวกที่กราบไหว้หลุมศพ หรือรูปบูชาอื่น ๆ พวกเขาเกรงกลัวต่อสิ่งเหล่านั้น และยังขู่ให้ผู้ศรัทธาซึ่งห้ามปรามพวกเขามิให้กราบไหว้บูชาสิ่งเหล่านั้นและให้เคารพภักดีอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวเกรงกลัวด้วย ความกลัวประเภทนี้เป็นเรื่องที่ขัดกับหลักศรัทธาโดยสิ้นเชิง

    ประเภทที่สอง การที่บุคคลหนึ่งละทิ้งสิ่งที่เป็นวาญิบสำหรับเขา เพราะเกรงกลัวผู้หนึ่งผู้ใด และแน่นอนว่าความกลัวเช่นนี้เป็นสิ่งต้องห้าม อัลลอฮฺ ตรัสว่า

    ﴿ ٱلَّذِينَ قَالَ لَهُمُ ٱلنَّاسُ إِنَّ ٱلنَّاسَ قَدۡ جَمَعُواْ لَكُمۡ فَٱخۡشَوۡهُمۡ ﴾ [آل عمران: ١٧٣]

    "บรรดาผู้ที่เมื่อผู้คนได้กล่าวแก่เขาว่า แท้จริงมีผู้คนได้ชุมนุมสำหรับพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงกลัวพวกเขาเถิด” (อาลอิมรอน: 173)

    ท่านอบูสะอีด อัลคุดรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ยืนขึ้นกล่าวคุฏบะฮฺ ซึ่งส่วนหนึ่งจากคำพูดของท่านคือ

    « أَلَا لَا يَمْنَعَنَّ رَجُلًا هَيْبَةُ النَّاسِ : أَنْ يَقُولَ بِحَقٍّ إِذَا عَلِمَهُ » [رواه ابن ماجه برقم 4007]

    “จงอย่าให้ความเกรงกลัวต่อผู้อื่น มาขัดขวางการพูดความจริงในสิ่งที่ท่านรู้” แล้วอบูสะอีดก็ร้องไห้และกล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ เราได้รู้ได้เห็นอะไรหลายอย่างแต่พวกเรากลับกลัวที่จะพูด (บันทึกโดย อิบนุมาญะฮฺ หะดีษเลขที่ 4007)

    ประเภทที่สาม ความกลัวโดยธรรมชาติ เช่น กลัวศัตรูคู่อาฆาต กลัวสัตว์ร้ายต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าความกลัวประเภทนี้ไม่มีข้อห้ามแต่ประการใด ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสถึงนบีมูซาว่า

    ﴿ فَخَرَجَ مِنۡهَا خَآئِفٗا يَتَرَقَّبُۖ ﴾ [القصص: ٢١]

    “ดังนั้น เขาจึงออกจากเมืองนั้นในสภาพหวาดกลัวว่าจะเกิดภัย” (อัลเกาะศ็อศ: 21)

    และพระองค์ตรัสว่า

    ﴿ إِنَّمَا ذَٰلِكُمُ ٱلشَّيۡطَٰنُ يُخَوِّفُ أَوۡلِيَآءَهُۥ فَلَا تَخَافُوهُمۡ وَخَافُونِ إِن كُنتُم مُّؤۡمِنِينَ ١٧٥ ﴾ [آل عمران: ١٧٥]

    “แท้จริงชัยฏอนนั้นเพียงขู่ได้เฉพาะบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามมันเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา” (อาลอิมรอน: 175)

    ในอายะฮฺข้างต้นนี้ อัลลอฮฺทรงห้ามบรรดาผู้ศรัทธามิให้เกรงกลัวต่อผู้ใดนอกจากพระองค์ และนั่นก็คือความอิคลาศที่พระองค์ทรงสั่งใช้ ดังนั้น เมื่อบ่าวคนใดเกรงกลัวแต่อัลลอฮฺและเคารพอิบาดะฮฺพระองค์อย่างบริสุทธิ์ใจแล้ว พระองค์ก็จะทรงประทานสิ่งที่เขาคาดหวัง และทรงทำให้เขารอดพ้นจากความกลัวใด ๆ ทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ อัลลอฮฺตรัสว่า

    ﴿ أَلَيۡسَ ٱللَّهُ بِكَافٍ عَبۡدَهُۥۖ وَيُخَوِّفُونَكَ بِٱلَّذِينَ مِن دُونِهِۦۚ وَمَن يُضۡلِلِ ٱللَّهُ فَمَا لَهُۥ مِنۡ هَادٖ ٣٦ ﴾ [الزمر: ٣٥]

    “อัลลอฮฺมิทรงเป็นผู้พอเพียงแก่บ่าวของพระองค์ดอกหรือ และพวกเขายังขู่เจ้าให้กลัวด้วยเจว็ดต่าง ๆ อื่นจากพระองค์ และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงให้เขาหลงทาง ดังนั้น สำหรับเขาจะไม่มีผู้ชี้นำทาง” (อัซซุมัรฺ: 36)

    อิบนุลก็อยยิม กล่าวว่า “เล่ห์เหลี่ยมประการหนึ่งของเหล่าศัตรูของอัลลอฮฺ คือพวกเขาจะพยายามข่มขู่ผู้ศรัทธาด้วยไพร่พลและผู้สนับสนุนของพวกเขา เพื่อให้ผู้ศรัทธาเกิดความหวาดหวั่น ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าต่อสู้ ไม่กล้าเรียกร้องสู่ความดีและห้ามปรามความชั่ว อัลลอฮฺจึงได้ทรงเตือนผู้ศรัทธาว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุบายและการหลอกล่อของชัยฏอนมารร้าย และทรงห้ามพวกเรามิให้เกรงกลัว”

    เกาะตาดะฮฺ กล่าวว่า “ชัยฏอนทำให้พวกเจ้าเกิดความรู้สึกเกรงขามต่อเจว็ดเหล่านั้น ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ศรัทธาของคนคนหนึ่งแข็งแกร่ง ในจิตใจของเขาก็จะไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่ อัลลอฮฺ ตรัสว่า

    ﴿ إِنَّ كَيۡدَ ٱلشَّيۡطَٰنِ كَانَ ضَعِيفًا ٧٦ ﴾ [النساء : ٧٦]

    “แท้จริงอุบายของชัยฏอนนั้นเป็นสิ่งอ่อนแอ” (อันนิสาอ์: 76)

    แต่หากศรัทธาของเขาอ่อนแอลง ความเกรงกลัวก็จะเข้ามาแทนที่ อายะฮฺข้างต้นนี้จึงเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ว่าการเกรงกลัวอย่างบริสุทธิ์ใจนั้น เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้การศรัทธาสมบูรณ์” (ฟัตหุลมะญีด หน้า 396-397)

    ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมิยะฮฺ กล่าวว่า “ความกลัว คือ สิ่งที่หักห้ามใจท่าน มิให้ทำในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้าม” (มะดาริญุสสาลิกีน เล่ม 1 หน้า 551)

    อิบนุเราะญับ กล่าวว่า “ขอบเขตความเกรงกลัวที่เป็นวาญิบนั้น คือการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ที่เป็นข้อบังคับ (ฟัรฎู) และออกห่างจากสิ่งต้องห้าม (หะรอม) แต่หากผู้ใดสามารถทำได้มากกว่านั้น โดยปฏิบัติสิ่งที่เป็นสุนนะฮฺ และออกห่างจากสิ่งที่น่ารังเกียจ (มักรูฮฺ) นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญสำหรับเขา” (อัตตัควีฟ มิน อันนารฺ หน้า 21)

    ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า ฉันได้ถามท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถึงอายะฮฺนี้

    ﴿ وَٱلَّذِينَ يُؤۡتُونَ مَآ ءَاتَواْ وَّقُلُوبُهُمۡ وَجِلَةٌ ﴾ [المؤمنون : ٦٠]

    “และบรรดาผู้ที่บริจาคสิ่งที่พวกเขาได้มา โดยที่จิตใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวั่นเกรง” (อัลมุอ์มินูน: 60)

    ว่ารวมถึงผู้ที่ดื่มสุรา หรือลักขโมยด้วยหรือไม่? ท่านตอบว่า

    « لَا يَا بِنْتَ الصِّدِّيقِ، وَلَكِنَّهُم الَّذِينَ يَصُومُونَ وَيُصَلُّونَ وَيَتَصَدَّقُونَ، وَهُمْ يَخَافُونَ أَنْ لَا تُقْبَلَ مِنْهُمْ، أُولَئِكَ يُسَارِعُونَ فِي الْخَيْرَاتِ وَهُمْ لَهَا سَابِقُونَ » [رواه الترمذي برقم 3175]

    “โอ้บุตรสาวของอบูบักรฺเอ๋ย มันไม่ใช่เช่นนั้นหรอก แต่หมายถึงบรรดาผู้ที่ถือศีลอด ละหมาด และบริจาคทาน แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังหวั่นเกรงว่าการงานของพวกเขานั้นจะไม่ถูกตอบรับ พวกเขาเหล่านั้นต่างรีบเร่งในการประกอบความดีทั้งหลาย” (บันทึกโดย อัตติรฺมิซีย์ หะดีษเลขที่ 3127)

    อบูอะลี อัรรูซะบารีย์ กล่าวว่า “ความกลัวและความหวังนั้น เปรียบดังปีกนกสองข้าง เมื่อปีกทั้งสองอยู่ในสภาพที่ดี การทรงตัวของนกก็จะสมบูรณ์ และมันก็จะสามารถบินได้ แต่หากขาดข้างหนึ่งข้างใด มันก็จะไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ และหากขาดทั้งสองข้างไป ก็เท่ากับว่านกตัวนั้นได้สูญสิ้นชีวิตไปแล้ว”

    อัลฟุฎ็อยลฺ บิน อิยาฎ กล่าวว่า “ความกลัวดีกว่าความหวังในขณะที่บุคคลหนึ่งมีสุขภาพที่ดี แต่หากเขาใกล้จะตาย ความหวังย่อมดีกว่าสำหรับเขา” (อัตตัควีฟ มิน อันนารฺ หน้า 16)

    ท่านอนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ไปเยี่ยมชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งใกล้จะเสียชีวิต ท่านได้ถามเขาว่า “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เขาตอบว่า “โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ แท้จริงฉันหวังในความเมตตาของอัลลอฮฺ แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็เกรงกลัวพระองค์เพราะบาปความผิดที่เคยทำ” ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวว่า

    « لَا يَجْتَمِعَانِ فِي قَلْبِ عَبْدٍ فِي مِثْلِ هَذَا المَوْطِنِ، إِلَّا أَعْطَاهُ اللَّهُ مَا يَرْجُو، وَآمَنَهُ مِمَّا يَخَافُ » [رواه الترمذي برقم 983]

    “หากมีสองสิ่งนี้ (ความกลัวและความหวัง) อยู่ในใจของบ่าวคนใดในสถานการณ์เช่นนี้ อัลลอฮฺจะให้ได้รับในสิ่งที่เขาแก่เขา และจะทรงให้เขารอดพ้นจากสิ่งที่เขากลัว” (บันทึกโดย อัตติรฺมิซีย์ หะดีษเลขที่ 983)

    ท่านอุมัรฺ กล่าวว่า “หากมีเสียงเรียกจากบนฟากฟ้าว่า โอ้มนุษย์ทั้งหลาย พวกเจ้าทุกคนจะได้เข้าสวรรค์ ยกเว้นเพียงคนเดียวเท่านั้น ฉันก็ยังกลัวว่าคนคนนั้นจะเป็นฉัน”

    วันหนึ่งท่านอุมัรฺเข้าไปในตลาดพร้อมกับอัลญารูด แล้วท่านได้พบกับหญิงชรานางหนึ่ง ท่านจึงกล่าวให้สลามแก่นาง นางรับสลามและกล่าวแก่ท่านว่า “โอ้อุมัรฺ ฉันนั้นได้เคยเห็นท่านตั้งแต่สมัยท่านยังเยาว์วัยวิ่งเล่นกับเด็ก ๆ ในตลาดอุกาซ ซึ่งในสมัยนั้นผู้คนเรียกขานท่านว่าอุมัยรฺ (อุมัรฺตัวน้อย) เมื่อเวลาผ่านไปท่านก็เติบใหญ่เป็นอุมัรฺ และไม่นานท่านก็กลายเป็นอะมีรุลมุอ์มินีนผู้นำของปวงชนผู้ศรัทธา ฉันขอให้ท่านจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺในการปกครองประชาชนของท่านเถิด เพราะผู้ใดเกรงกลัวความตาย เขาจะหวั่นเกรงต่อความบกพร่องของเขา”

    เมื่อท่านอุมัรฺได้ฟังคำพูดของนาง ท่านก็ร้องไห้ อัลญารูดจึงกล่าวขึ้นว่า “เธอนี่ช่างกล้านัก เธอทำให้อะมีรุลมุอ์มินีน ร้องไห้อย่างนั้นหรือ?” แต่ท่านอุมัรฺสั่งให้ปล่อยนางไป เมื่อท่านหยุดร้องไห้ท่านก็กล่าวถามเขาว่า “ท่านไม่รู้จักนางหรอกหรือ?” เขาตอบว่า “ไม่ครับ” ท่านจึงกล่าวว่า “นางคือเคาละฮฺ บุตรี หะกีม นางคือผู้ที่อัลลอฮฺทรงได้ยินคำพูดของนาง ฉะนั้น ก็เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่อุมัรฺจะฟังคำพูดของนาง”

    ทั้งนี้ ท่านอุมัรฺหมายถึงพระดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า

    ﴿ قَدۡ سَمِعَ ٱللَّهُ قَوۡلَ ٱلَّتِي تُجَٰدِلُكَ فِي زَوۡجِهَا وَتَشۡتَكِيٓ إِلَى ٱللَّهِ وَٱللَّهُ يَسۡمَعُ تَحَاوُرَكُمَآۚ إِنَّ ٱللَّهَ سَمِيعُۢ بَصِيرٌ ١ ﴾ [المجادلة: ١]

    “โดยแน่นอน อัลลอฮฺทรงได้ยินถ้อยคำของสตรีที่กำลังโต้แย้งกับเจ้าในเรื่องสามีของนาง และนางได้ร้องทุกข์ต่ออัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นทรงได้ยินการตอบโต้ของเจ้าทั้งสอง แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรู้เห็นเสมอ” (อัลมุญาดะละฮฺ: 1)

    และท่านอุมัรฺได้กล่าวขณะที่ท่านถูกแทงว่า “หากว่าฉันมีทองคำจำนวนมากเต็มหน้าแผ่นดิน ฉันจะยอมสละเหล่านั้นเพื่อแลกกับการที่ฉันจะได้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺ ก่อนที่ฉันจะได้เห็นมันเสียอีก" (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 3692)

    อุมัรฺ บิน อับดุลอะซีซ กล่าวว่า “ผู้ใดเกรงกลัวอัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกรงกลัวเขา แต่หากผู้ใดไม่เกรงกลัวพระองค์ เขาก็จะเป็นผู้ที่เกรงกลัวทุกสิ่ง”

    ขณะที่ท่านหะสันร้องไห้ มีผู้หนึ่งถามท่านว่า “ท่านร้องไห้เพราะเหตุใดหรือ?” ท่านตอบว่า “ฉันกลัวว่าวันพรุ่งนี้อัลลอฮฺจะโยนฉันลงในไฟนรก โดยที่พระองค์ไม่ทรงแยแส”

    ยะหฺยา บิน มุอาซ กล่าวว่า “ความรักที่ท่านมีต่ออัลลอฮฺมีมากเท่าใด ผู้คนก็จะรักท่านมากเท่านั้น และเช่นกันความเกรงกลัวที่ท่านมีต่อพระองค์อยู่ในระดับใด ผู้คนก็จะเกรงกลัวท่านเช่นนั้น”

    อิมามอะหฺมัด กล่าวว่า “ความเกรงกลัวนั้นสามารถหักห้ามฉันไม่ให้กินหรือดื่มสิ่งใด โดยที่ฉันไม่รู้สึกหิวหรือกระหายแต่อย่างใดเลย”

    معلومات المادة باللغة الأصلية