×
جدبد!

تطبيق موسوعة بيان الإسلام

احصل عليه الآن!

حقوق الصحابة وأمهات المؤمنين رضي الله عنهم (تايلندي)

إعداد: มุหัมมัด บิน ศอลิหฺ อัล-อุษัยมีน

الوصف

مقالة مترجمة إلى اللغة التايلندية، من كتاب «مختصر لمعة الاعتقاد الهادي الى سبيل الرشاد» لفضيلة الشيخ محمد بن صالح العثيمين رحمه الله، وقد ذكر فيها حقوق الصحابة وحكم من سب الصحابة - رضي الله عنهم -، كما ذكر فيها أيضا حقوق أمهات المؤمنين ومن هن أمهات المؤمنين وما حكم من قذف أمهات المؤمنين - رضي الله عنهن -.

تنزيل الكتاب

    สิทธิของเศาะหาบะฮฺ
    และอุมมะฮาตุลมุอ์มินีน

    ] ไทย – Thai – تايلاندي [

    เชค มุหัมมัด บิน ศอลิหฺ อัล-อุษัยมีน

    แปลโดย : ซุฟอัม อุษมาน


    حقوق الصحابة وأمهات المؤمنين
    رضي الله عنهم

    « باللغة التايلاندية »

    الشيخ محمد بن صالح العثيمين

    ترجمة: صافي عثمان



    ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

    สิทธิของเศาะหาบะฮฺและอุมมะฮาตุลมุอ์มินีน

    บรรดาเศาะหาบะฮฺนั้นมีความประเสริฐอันยิ่งใหญ่เหนือประชาชาตินี้ เพราะพวกเขาได้ยืนหยัดในการช่วยเหลืออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ พวกเขาได้ร่วมต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺด้วยทรัพย์สินและชีวิตของพวกเขา เพื่อพิทักษ์ปกป้องศาสนาของอัลลอฮฺ ซึ่งความหมายของการพิทักษ์ปกป้องศาสนาของอัลลอฮฺก็คือการพิทักษ์คัมภีร์ของพระองค์และสุนนะฮฺของท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทั้งในภาคของการเรียนรู้ การปฏิบัติ และการถ่ายทอดแก่ผู้อื่น จนพวกเขาสามารถส่งต่อศาสนานี้แก่ประชาชาติทั้งผองในสภาพที่บริสุทธิ์และสดสะอาดไร้สิ่งเจือปน

    อัลลอฮฺได้ทรงชื่นชมบรรดาเศาะหาบะฮฺในคัมภีร์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ว่า

    ﴿مُّحَمَّدٞ رَّسُولُ ٱللَّهِۚ وَٱلَّذِينَ مَعَهُۥٓ أَشِدَّآءُ عَلَى ٱلۡكُفَّارِ رُحَمَآءُ بَيۡنَهُمۡۖ تَرَىٰهُمۡ رُكَّعٗا سُجَّدٗا يَبۡتَغُونَ فَضۡلٗا مِّنَ ٱللَّهِ وَرِضۡوَٰنٗاۖ سِيمَاهُمۡ فِي وُجُوهِهِم مِّنۡ أَثَرِ ٱلسُّجُودِۚ ذَٰلِكَ مَثَلُهُمۡ فِي ٱلتَّوۡرَىٰةِۚ وَمَثَلُهُمۡ فِي ٱلۡإِنجِيلِ كَزَرۡعٍ أَخۡرَجَ شَطَۡٔهُۥ فََٔازَرَهُۥ فَٱسۡتَغۡلَظَ فَٱسۡتَوَىٰ عَلَىٰ سُوقِهِۦ يُعۡجِبُ ٱلزُّرَّاعَ لِيَغِيظَ بِهِمُ ٱلۡكُفَّارَۗ وَعَدَ ٱللَّهُ ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ وَعَمِلُواْ ٱلصَّٰلِحَٰتِ مِنۡهُم مَّغۡفِرَةٗ وَأَجۡرًا عَظِيمَۢا ٢٩﴾ [الفتح: ٢٩]

    ความว่า “มุหัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขานั้นเป็นผู้เข้มแข็งกล้าหาญต่อพวกปฏิเสธศรัทธา เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขาเอง เจ้าจะเห็นพวกเขาเป็นผู้ก้มรุกูอฺและกราบสุญูดอย่างมากมาย โดยมุ่งหวังแสวงหาคุณความดีจากอัลลอฮฺและความโปรดปรานของพระองค์ เครื่องหมายของพวกเขาอยู่บนใบหน้าของพวกเขาเนื่องจากร่องรอยแห่งการสุญูด นั่นคืออุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัต-เตารอต ส่วนอุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัล-อินญีลนั้น ระบุว่าประหนึ่งเมล็ดพืชที่งอกหน่อหรือกิ่งก้านของมันออกมาแล้วทำให้มันงอกงาม แล้วมันก็เติบโตแข็งแรงและทรงตัวอยู่ได้บนลำต้นของมัน นำความปลื้มปิติมาให้แก่ผู้หว่าน เพื่อที่พระองค์จะก่อความเคืองแค้นในตัวพวกปฏิเสธศรัทธาด้วยสาเหตุจากพวกเขา และอัลลอฮฺทรงสัญญาแก่บรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายในหมู่พวกเขาว่าจะได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง" (อัล-ฟัตห์ 29)

    ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เองก็ได้ปกป้องเกียรติของพวกเขา ท่านได้ประกาศชัดว่า

    «لَا تَسُبُّوا أَصْحَابِي، فَالَّذِى نَفْسِي بِيَدِهِ لَوْ أَنْفَقَ أَحَدُكُمْ مِثْلَ أُحُدٍ ذَهَبًا مَا بَلَغَ مُدَّ أَحَدِهِمْ وَلَا نَصِيفَهُ» [البخاري: 3673، مسلم: 2540، 2541]

    ความว่า “อย่าได้สาปแช่งเศาะหาบะฮฺของฉัน ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺผู้ซึ่งชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ มาตรแม้นว่าพวกท่านบริจาคทองคำมากมายเยี่ยงภูเขาอุหุดแล้วไซร้ ยังไม่อาจจะเท่าเทียมกับพวกเขาได้ แม้สักมุดด์(หนึ่งกอบมือ)ของพวกเขาหรือแม้แต่ครึ่งหนึ่งของมันก็ตาม" (อัล-บุคอรีย์ 3673 มุสลิม 2540, 2541)

    สิทธิต่างๆ ของพวกเขาที่ประชาชาตินี้ต้องมอบให้พวกเขานั้นเป็นสิ่งที่ใหญ่หลวงมาก อาทิ

    1. ต้องรักพวกเขาด้วยหัวใจ และต้องชื่นชมพวกเขาด้วยวาจา ต่อสิ่งที่พวกเขาได้มอบเหลือไว้เป็นร่องรอยแห่งคุณงามความดีทั้งหลาย

    2. การขอความเมตตาและการอภัยโทษจากอัลลอฮฺให้แก่พวกเขา เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺที่ว่า

    ﴿وَٱلَّذِينَ جَآءُو مِنۢ بَعۡدِهِمۡ يَقُولُونَ رَبَّنَا ٱغۡفِرۡ لَنَا وَلِإِخۡوَٰنِنَا ٱلَّذِينَ سَبَقُونَا بِٱلۡإِيمَٰنِ وَلَا تَجۡعَلۡ فِي قُلُوبِنَا غِلّٗا لِّلَّذِينَ ءَامَنُواْ رَبَّنَآ إِنَّكَ رَءُوفٞ رَّحِيمٌ ١٠﴾ [الحشر: ١٠]

    ความว่า “และบรรดาผู้ที่มาหลังจากพวกเขา โดยพวกเขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเรา ทรงโปรดอภัยให้แก่เราและพี่น้องของเราผู้ซึ่งได้ศรัทธามาแล้วก่อนหน้าเรา และขอพระองค์อย่าได้ให้มีการเคียดแค้นเกิดขึ้นในหัวใจของเราต่อบรรดาผู้ศรัทธา ข้าแต่พระเจ้าของเรา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงเอ็นดู ผู้ทรงเมตตาเสมอ" (อัล-หัชร์ 10)

    3. หยุด ไม่พูดถึงความผิดพลาดต่างๆ ที่ปรากฏจากคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา เพราะมันน้อยนิดมากถ้าหากจะเปรียบเทียบกับความดีงามและความประเสริฐของพวกเขา และบางครั้งความผิดพลาดนั้นก็เกิดมาจากมูลเหตุแห่งการวินิจฉัยที่ได้รับการอนุโลม เนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เตือนแล้วว่า “อย่าได้สาปแช่งเศาะหาบะฮฺของฉัน"

    หุก่มผู้ที่ด่าทอเศาะหาบะฮฺ

    การด่าทอเศาะหาบะฮฺนั้นมีสามประเภท คือ

    หนึ่ง การด่าทอที่มีนัยว่าจำนวนคนส่วนใหญ่ในหมู่เศาะหาบะฮฺนั้นล้วนเป็นกาฟิร หรือส่วนใหญ่จากพวกเขานั้นเป็นฟาสิก การด่าทอประเภทนี้ถือว่าเป็นกุฟรฺ(ตกศาสนา) เพราะเป็นการปฏิเสธอัลลอฮฺและเราะสูลอย่างชัดเจน เนื่องจากอัลลอฮฺและเราะสูลได้ชื่นชมยกย่องพวกเขา หนำซ้ำใครก็ตามที่ยังลังเลว่าการด่าทอประเภทนี้ตกเป็นกุฟรฺเขาเองก็ตกอยู่ในสภาพกุฟรฺอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะคำพูดเยี่ยงนั้นมีความหมายว่า บรรดาคนที่ถ่ายทอดอัลกุรอานและสุนนะฮฺนั้นเป็นกาฟิรฺหรือฟาสิกนั่นเอง

    สอง การด่าทอที่อยู่ในรูปการสาปแช่งและใส่ไคล้ ประเภทนี้อุละมาอ์มีสองทัศนะ ฝ่ายหนึ่งกล่าวว่าเป็นกุฟรฺ อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวว่าไม่เป็นกุฟรฺ อย่างไรก็ตามในทัศนะที่มองว่าไม่เป็นกุฟรฺนั้น ก็ยังมีข้อวินิจฉัยว่าคนด่าทอประเภทนี้ต้องถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนและกักขังตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะกลับคำจากสิ่งที่ตนพูด

    สาม การด่าทอที่ไม่มีผลต่อศาสนาของบรรดาเศาะหาบะฮฺ เช่นกล่าวว่า พวกเขาขี้ขลาด หรือตระหนี่ถี่เหนียว เป็นต้น การกล่าวเช่นนี้ไม่ถือว่าผู้พูดเป็นกุฟรฺ แต่ต้องได้รับการลงโทษตามสมควรเพื่อให้เลิกกระทำการดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้อิบนุ ตัยมียะฮฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัศ-ศอริม อัล-มัสลูล" (หน้า 573) โดยอ้างจากอิมามอะห์มัดว่า “ไม่อนุญาตให้พูดถึงความผิดพลาดของเศาะหาบะฮฺคนใดคนหนึ่ง ต้องไม่ทิ่มแทงพวกเขาด้วยการพูดถึงข้อน่าตำหนิและความบกพร่อง ใครก็ตามที่กระทำการดังกล่าวก็ต้องได้รับการเตือน ถ้าหากเขากลับตัวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากยังดื้อดึงก็ต้องเฆี่ยนในที่คุมขังจนกว่าจะเสียชีวิตหรือกลับคำพูด"

    สิทธิบรรดาภรรยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

    บรรดาบรรยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้นเป็นทั้งภรรยาของท่านในดุนยาและอาคิเราะฮฺ พวกนางทั้งหมดเป็นอุมมะฮาตุลมุอ์มินีน (มารดาแห่งศรัทธาชน) และจะต้องให้เกียรติให้ความเคารพตามสถานะที่เหมาะสมกับการเป็นภรรยาแห่งนบีคนสุดท้าย พวกนางเป็นสมาชิกในครอบครัวของท่านนบี เป็นเหล่านางที่บริสุทธิ์และได้รับการขัดเกลาจนบริสุทธิ์ เป็นเหล่านางที่ดียิ่งและได้รับการเจียระไนจนงดงาม เป็นเหล่านางผู้ไร้มลทินและถูกปกป้องจากมลทินแห่งความชั่วทุกประการที่อาจจะทำลายเกียรติและชีวิตครอบครัวในฐานะภรรยาของท่านนบี เพราะเหล่าสตรีที่ดีย่อมคู่ควรกับเหล่าบุรุษที่ดี และเหล่าบุรุษที่ดีก็ย่อมคู่ควรกับเหล่าสตรีที่ดี ขออัลลอฮฺทรงประทานความพอพระทัยของพระองค์ต่อพวกนางทั้งหมด และขอทรงเศาะละวาตและสลามแก่ท่านนบีผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ด้วยเทอญ

    รายชื่อภรรยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

    ภรรยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่จากท่านไปด้วยสาเหตุแห่งการเสียชีวิตมีทั้งหมด 11 คน คือ

    1. เคาะดีญะฮฺ บินตฺ คุวัยลิด เป็นแม่ของลูกๆ ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นอกจากลูกชายของท่านที่ชื่ออิบรอฮีม ท่านนบีแต่งกับนางหลังจากที่นางเคยมีสามีมาแล้วสองคน คือ อะตีก บิน อาบิด และ อบู ฮาละฮฺ อัต-ตะมีมีย์ ท่านนบีไม่ได้แต่งงานกับภรรยาคนอื่นๆ ขณะที่ครองชีวิตอยู่กับนาง จนกระทั่งนางได้เสียชีวิตในปีที่ 10 ของการได้รับแต่งตั้งเป็นนบี ก่อนที่จะมีเหตุการณ์มิอฺรอจญ์

    2. อาอิชะฮฺ บินตฺ อบี บักรฺ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ฝันเห็นนางสองหรือสามครั้งซึ่งมีเสียงบอกว่านี่คือภรรยาของท่าน (ดู อัล-บุคอรีย์ 3895 มุสลิม 2438) ดังนั้น ท่านจึงสู่ขอนางขณะที่นางมีอายุหกขวบตอนที่อยู่มักกะฮฺ และได้ครองชีวิตอยู่กับนางเมื่ออายุนางได้เก้าขวบหลังจากที่อพยพไปมะดีนะฮฺแล้ว นางเสียชีวิตเมื่อปี 58 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช

    3. เสาดะฮฺ บินตฺ ซัมอะฮฺ อัล-อามิรียะฮฺ ท่านนบีแต่งกับนางหลังจากที่นางเคยมีสามีที่เป็นมุสลิมมาก่อน นั่นคือ อัส-สักรอน บิน อัมรฺ เป็นพี่น้องกับสุฮัยลฺ บิน อัมรฺ นางเสียชีวิตในสมัยการปกครองของท่านอุมัรฺ เมื่อปี 54 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช

    4. หัฟเศาะฮฺ บินตฺ อุมัรฺ บิน อัล-ค็อฏฏอบ ท่านนบีแต่งกับนางหลังจากที่นางเคยมีสามีเป็นมุสลิมมาก่อน คือ คุนัยสฺ บิน หุซาฟะฮฺ ซึ่งเสียชีวิตในสงครามอุหุด นางเสียชีวิตเมื่อปี 41 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช

    5. ซัยนับ บินตฺ คุซัยมะฮฺ อัล-ฮิลาลียะฮฺ หรือที่มีฉายาว่า อุมมุลมะสากีน – แม่ของเหล่าคนยากจน ท่านนบีแต่งกับนางหลังจากที่สามีของนางตายชะฮีดในสงครามอุหุด นั่นคือ อับดุลลอฮฺ บิน ญะฮฺชิน นางเสียชีวิตหลังจากแต่งกับท่านนบีได้ไม่นาน นั่นคือในปีที่ 4 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช

    6. อุมมุ สะละมะฮฺ ฮินด์ บินตฺ อบี อุมัยยะฮฺ อัล-มัคซูมียะฮฺ ท่านนบีแต่งกับนางหลังจากที่อบู สะละมะฮฺ อับดุลลอฮฺ บิน อับดิลอะสัด ผู้เป็นสามีของนางเสียชีวิตจากบาดแผลในสงครามอุหุด นางเสียชีวิตในปีที่ 61 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช

    7. ซัยนับ บินตฺ ญะฮฺชิน อัล-อะสะดียะฮฺ เป็นลูกสาวของน้าสาวฝั่งพ่อของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านนบีแต่งกับนางในปีที่ 5 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช หลังจากที่นางเลิกกับซัยดฺ บิน หาริษะฮฺ ซึ่งเคยเป็นคนรับใช้ท่านนบีมาก่อน นางเสียชีวิตเมื่อปีที่ 20 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช

    8. ญุวัยรียะฮฺ บินตฺ อัล-หาริษ อัล-คุซาอียะฮฺ ท่านนบีแต่งกับนางในปีที่ 6 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช หลังจากสามีของนางที่ชื่อ มุสาฟิอฺ บิน ศ็อฟวาน บ้างก็ว่าชื่อ มาลิก บิน ศ็อฟวาน

    9. อุมมุ หะบีบะฮฺ ร็อมละฮฺ บินตฺ อบี สุฟยาน ท่านนบีแต่งกับนางหลังจากสามีของนางที่ชื่อ อุบัยดุลลอฮฺ บิน ญะฮฺชิน ซึ่งคนผู้นี้เคยเป็นมุสลิมแล้วเปลี่ยนไปเป็นคริสต์ นางเสียชีวิตที่มะดีนะฮฺในยุคการปกครองของมุอาวิยะฮฺพี่ของนางในปี 44 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช

    10. เศาะฟีย์ยะฮฺ บินตฺ หุยัยย์ บิน อัคฏ็อบ จากเผ่านะฎีรฺ ซึ่งเป็นลูกหลานจากเชื้อสายของนบีฮารูน บิน อิมรอน ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านปลดปล่อยนางเป็นไทโดยใช้การปล่อยไทของนางดังกล่าวเป็นสินสอดในการแต่งงานกับนาง นางเคยมีสามีมาก่อนสองคนแล้วคือ สะลาม บิน มิชกัม และ กินานะฮฺ บิน อบี อัล-หะกีก การแต่งงานนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์พิชิตค็อยบัรฺในปีที่ 6 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช นางเสียชีวิตในปีที่ 50 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช

    11. มัยมูนะฮฺ บินตฺ อัล-หาริษ อัล-ฮิลาลียะฮฺ ท่านนบีแต่งกับนางในปีที่ 7 ฮิจญ์เราะฮฺศักราชในเหตุการณ์อุมเราะฮฺชดใช้ นางเคยมีสามีมาแล้วสองคนคือ อิบนุ อับ ยาเลล และอบู เราะฮฺม์ บิน อับดุลอุซซา ท่านเริ่มครองคู่กับนางในเขตเมืองที่เรียกว่า สะริฟ นางเสียชีวิตเมื่อปีที่ 51 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช

    นี่คือบรรดาภรรยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่จากกับท่านไปด้วยเหตุแห่งการเสียชีวิต สองคนที่เสียชีวิตก่อนท่านนบี นั่นคือ เคาะดีญะฮฺ และ ซัยนับ บินตฺ คุซัยมะฮฺ ส่วนอีกเก้าคนนั้นเสียชีวิตหลังจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

    ยังมีภรรยาอีกสองคนที่ท่านนบีไม่ทันได้ครองชีวิตกับทั้งสอง ซึ่งสองคนนี้ไม่ถือว่าเป็นอุมมะฮาตุลมุอ์มินีน ไม่มีหุก่มหรือความประเสริฐเช่นบรรดาภรรยาที่เราได้กล่าวถึงแล้ว นั่นคือ

    1. อัสมาอ์ บินตฺ อัน-นุอฺมาน อัล-กินดียะฮฺ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แต่งกับนางแล้วหย่า อุละมาอ์มีทัศนะต่างกันว่าท่านหย่าเพราะอะไร อิบนุ อิสหาก กล่าวว่า ท่านนบีพบว่าที่ด้านข้างตรงระหว่างเอวกับซี่โครงของนางเป็นสีขาว ท่านจึงหย่านาง หลังจากนั้นก็มีคนอื่นมาแต่งกับนาง นั่นคือ อัล-มุฮาญิรฺ บิน อบี อุมัยยะฮฺ

    2. อุมัยมะฮฺ บินตฺ อัน-นุอฺมาน บิน ชะรอหีล อัล-ญูนียะฮฺ ซึ่งนางเป็นคนกล่าวแก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า “ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺจากตัวท่าน" ท่านจึงหย่ากับนาง วัลลอฮุอะอฺลัม

    ภรรยาที่ประเสริฐที่สุดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือเคาะดีญะฮฺ และอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา แต่ละคนนั้นมีความพิเศษที่แตกต่างกัน สำหรับเคาะดีญะฮฺนั้นนางมีความประเสริฐและมีบทบาทอย่างมากในตอนเริ่มแรกของอิสลาม ซึ่งอาอิชะฮฺไม่ได้มีบทบาทในส่วนนั้น เช่น การที่เคาะดีญะฮฺเป็นคนแรกๆ ที่ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนอิสลาม ส่วนอาอิชะฮฺนั้นมีบทบาทในตอนหลัง ซึ่งเคาะดีญะฮฺไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย เช่น การที่อาอิชะฮฺเป็นผู้เผยแพร่ความรู้อิสลาม สร้างคุณประโยชน์แก่ประชาชาติอิสลาม และอัลลอฮฺได้ประกาศว่านางบริสุทธิ์ไร้มลทินเยี่ยงที่พวกมุนาฟิกกล่าวหานาง ตามที่ปรากฏในสูเราะฮฺ อัน-นูรฺ

    การใส่ร้ายมารดาแห่งศรัทธาชน

    การกล่าวหาใส่ร้ายอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ด้วยคำครหาที่อัลลอฮฺได้ประกาศแล้วว่านางไม่เกี่ยวข้องนั้น ถือว่าเป็นกุฟรฺ เพราะเป็นการปฏิเสธอัลกุรอาน ส่วนการกล่าวหาอุมมะฮาตุลมุอ์มินีนคนอื่นๆ นั้น มีทัศนะของบรรดาอุละมาอ์อยู่สองความเห็น ที่ถูกต้องที่สุดคือ การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นกุฟรฺเช่นเดียวกัน เพราะนั่นเป็นการทำลายเกียรติของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เสมือนกล่าวหาว่าภรรยาของท่านเป็นคนชั่วท่านก็เป็นคนชั่ว เนื่องจากคนชั่วย่อมต้องคู่ควรกับคนชั่ว

    معلومات المادة باللغة الأصلية