×

خطر الشيعة في القديم والحديث (تايلندي)

الوصف

مقالة مترجمة إلى اللغة التايلندية تبين أنه بالنظر إلى الحقائق التاريخية منذ القديم وإلى الأحداث في التاريخ الحاضر القريب، تثبت بوضوح وجلاء عداوة هؤلاء الروافض للإسلام والمسلمين.

تنزيل الكتاب

    ภัยของลัทธิชีอะฮฺทั้งในอดีตและปัจจุบัน

    خطر الشيعة في القديم والحديث

    < تايلاندية >

    เว็บไซต์อัล-บุรฮาน

    موقع البرهان

    —™

    ผู้แปล: ทีมงานภาษาไทยเว็บอิสลามเฮ้าส์

    ترجمة: فريق اللغة التايلاندية بموقع دار الإسلام

    ภัยของลัทธิชีอะฮฺทั้งในอดีตและปัจจุบัน

    บทนำ

    إن الحمد لله، نحمده ونستعينه ونستغفره، ونعوذ بالله من شرور أنفسنا، وسيئات أعمالنا، من يهده الله فلا مضل له، ومن يضلل فلا هادي له، وأشهد أن لا إله إلا الله وحده لا شريك له، وأشهد أن محمدًا عبده ورسوله.

    ผู้อ่านที่มีเกียรติยิ่ง

    มีหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับหลักยึดมั่นของชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺที่ถูกเรียบเรียงขึ้นเพื่อเตือนชาวมุสลิมมิให้หลงตกในกับดักของชีอะฮฺ เช่น

    · "الخطوط العريضة" للعلامة محب الدين الخطيب.

    · "الشيعة والتصحيح" للشيعي التائب العلامة الدكتور موسى الموسوي.

    · "منهاج السنة النبوية" لشيخ الإسلام ابن تيمية.

    · "صورتان متضادتان لنتائج جهود الرسول الأعظم بين السنة والشيعة الإمامية" للعلامة أبي الحسن الندوي.

    · حقيقة الشيعة "حتى لا ننخدع" لعبد الله الموصلي.

    · كتب العلامة إحسان إلهي ظهير في الشيعة وهي كثيرة، وقد قتله الشيعة بسببها.

    · "وجاء دور المجوس" للدكتور عبد الله محمد الغريب.

    ทั้งนี้ จากหนังสือดังกล่าวข้างต้น และหนังสือตำราของชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺเอง จะพบว่าหลักยึดมั่นของพวกรอฟิเฎาะฮฺเป็นดังต่อไปนี้

    อะกีดะฮฺ ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ

    - ถือว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺเกือบทั้งหมดตกเป็นกาฟิร ยกเว้นไม่กี่ท่าน โดยสาเหตุที่ตกเป็นกาฟิรของคนเหล่านั้นก็เพราะพวกเขาถือว่า ท่านเราะสูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้มีคำสั่งให้มอบตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺแด่ท่านอลี เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ต่อหน้ามหาชนมุสลิม แต่ครั้นเมื่อ ท่านเราะสูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม สิ้นชีวิต มหาชนเหล่านั้นกลับวางแผนชั่วและยึดตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺไปจากท่านอลี เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ

    - ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ กล่าวหาบรรดาภริยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่าตกเป็นกาฟิร พร้อมกับลบหลู่เกียรติของนางเหล่านั้นด้วยการใส่ร้ายต่างๆ นานา เช่นเดียวกันกับการกล่าวหาท่านอบู บักรฺ ท่านอุมัร ท่านอุษมาน ตลอดจนรัฐบาลอะมาวียะฮฺ อับบาสิยะฮฺ และอุษมานียะฮฺที่พิชิตดินแดนต่างๆ ให้เป็นรัฐมุสลิม ตลอดจนชาวมุสลิมทั้งมวลว่าเป็นกาฟิร ทั้งๆ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พวกชีอะฮฺไม่เคยสร้างดินแดนใหม่ให้กับมุสลิมแม้แต่นิ้วเดียว

    อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้กล่าวชื่นชมบรรดาเศาะหาบะฮฺท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในอัลกุรอานหลายอายะฮฺ เช่น

    ﴿وَٱلسَّٰبِقُونَ ٱلۡأَوَّلُونَ مِنَ ٱلۡمُهَٰجِرِينَ وَٱلۡأَنصَارِ وَٱلَّذِينَ ٱتَّبَعُوهُم بِإِحۡسَٰنٖ رَّضِيَ ٱللَّهُ عَنۡهُمۡ وَرَضُواْ عَنۡهُ وَأَعَدَّ لَهُمۡ جَنَّٰتٖ تَجۡرِي تَحۡتَهَا ٱلۡأَنۡهَٰرُ خَٰلِدِينَ فِيهَآ أَبَدٗاۚ ذَٰلِكَ ٱلۡفَوۡزُ ٱلۡعَظِيمُ ١٠٠﴾ [ التوبة: 100]

    ความว่า: “และบรรดาชาวมุฮาญิรีนและอันศอรฺผู้ที่มาก่อนเป็นกลุ่มแรกๆ และบรรดาผู้ที่มาภายหลังตามพวกเขาด้วยความดีสุดประเสริฐนั้น อัลลอฮฺได้ทรงโปรดปรานคนเหล่านั้น และพวกเขาก็พึงพอใจกับพระองค์ และพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมสรวงสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายผ่าน ณ เบื้องล่างแด่พวกเขา พวกเขาจะคงอยู่ ณ ที่นั่นไปตลอดกาล ซึ่งนั้นคือรางวัลอันใหญ่หลวง” (อัต-เตาบะฮฺ 100)

    - ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ ถือว่าอัลกุรอานได้ถูกสังคายนา เพราะถูกสืบทอดผ่านบรรดาเศาะหาบะฮฺซึ่งพวกเขาคิดว่าคนเหล่านั้นเป็นคนกาฟิร ทั้งๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า

    ﴿ إِنَّا نَحۡنُ نَزَّلۡنَا ٱلذِّكۡرَ وَإِنَّا لَهُۥ لَحَٰفِظُونَ ٩ ﴾ [الحجر: ٩]

    ความว่า: “แท้จริง เราได้ทรงประทานอัลกุรอานลงมา และเราคือผู้คุ้มครองรักษาคัมภีร์นี้” (อัล-หิจญ์รฺ 9)

    - ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ เชื่อว่า หะดีษนบีที่เศาะฮีหฺที่ชาวซุนนีย์ใช้นั้นเป็นของปลอม เพราะถูกโอนถ่ายโดยคนกาฟิร ทั้งๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างความสมบูรณ์ให้กับศาสนาและประทานความสมบูรณ์ทางศาสนาให้พวกเขาด้วยการประทานอัลกุรอานและหะดีษ ซึ่งศาสนาจะสมบูรณ์ไม่ได้หากไม่ใช่ด้วยการรักษาและคุ้มครองหะดีษด้วย อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า

    ﴿ٱلۡيَوۡمَ أَكۡمَلۡتُ لَكُمۡ دِينَكُمۡ وَأَتۡمَمۡتُ عَلَيۡكُمۡ نِعۡمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ ٱلۡإِسۡلَٰمَ دِينٗاۚ فَمَنِ ٱضۡطُرَّ فِي مَخۡمَصَةٍ غَيۡرَ مُتَجَانِفٖ لِّإِثۡمٖ فَإِنَّ ٱللَّهَ غَفُورٞ رَّحِيمٞ ٣ ﴾ [المائ‍دة: ٣]

    ความว่า: “วันนี้ ฉันได้ทำศาสนาให้สมบูรณ์และได้ประทานนิอฺมัตอันสมบูรณ์แล้วแก่สูเจ้า และฉันได้โปรดปรานให้อิสลามเป็นศาสนาแก่สูเจ้า ส่วนผู้ที่อยู่ในภาวะคับขันไม่สามารถปฏิบัติได้ที่ไม่ใช่ผู้เจตนาล่วงละเมิดกฎนั้น แท้จริงแล้วอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นผู้อภัยและปรานียิ่ง” (อัล-มาอิดะฮฺ 3)

    - พวกชีอะฮฺยังเชื่อว่าตำแหน่งผู้นำหรือการเป็นอิมามนั้นคือตำแหน่งที่แต่งตั้งโดยพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าผู้เป็นอิมามหลังจากนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม คือ ท่านอลี บิน อบี ฏอลิบ หลังจากนั้นคือ ท่านอัล-หะสัน แล้วก็ท่านหุสัยน์ (ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นไม่เคยร่วมสมคบและเห็นด้วยกับพวกเขา) หลังจากนั้นคือท่านซัยนุลอาบิดีน, อบู ญะอฺฟัร อัล-บากิร, ญะฟัร อัศ-ศอดิก, มูซา อัล-กาซิม, อาลี อัร-ริฎอ, มุฮัมมัด อัล-เญาวาด, อาลี อัลฮาดี, อัล-หะสัน อัล-อัสกะรีย์ ตามลำดับ โดยท่านสุดท้ายจะเป็นบุคคลนิรนามที่ไม่มีตัวตนและถูกอุปโลกน์ขึ้น นั้นคือมุฮัมมัด บิน อัล-หะสัน อัล-อัสกะรีย์ ซึ่งเป็นอิมามที่อันตรธานและกำลังถูกรอคอย พวกเขาเชื่อว่าท่านมุฮัมมัด บิน อัล-หะสัน อัล-อัสกะรีย์ ท่านนี้ หายตัวไปแบบดำดินที่เมืองสามัรรออ์ในขณะมีอายุเพียงห้าขวบ เมื่อปี ฮ.ศ.260 โดยจนถึงปัจจุบันพวกเขากำลังรอคอยการผุดโผล่ของท่านอีกครั้ง ณ ที่นี้ ซึ่งเมื่อท่านกลับมา ท่านจะประหัตประหารชาวซุนนีย์อย่างจริงจังและราบคาบ ท่านจะทำลายมัสยิดอัลหะรอมและมัสยิดนบี พร้อมกับขุดหลุมและงัดศพของอบูบักรฺและอุมัรออกมาเสียบประจานและเผาทิ้ง ท่านจะปกครองด้วยกฎหมายของนบีดาวูด ซึ่งสิ่งนี้ส่อให้เห็นว่าเป็นความคิดที่มีรากเหง้าจากชาวยิว เพราะอับดุลลอฮฺ บิน สะบะอฺ ชาวยิวเป็นคนปั้นคนเหล่านี้ขึ้นมาดังที่เรารับรู้กัน

    - ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ ยังเป็นพวกมาญูซีย์บูชาไฟ ที่ต้องการล้างแค้นให้กับอาณาจักรเปอร์เซีย พวกเขาจึงสาปแช่งท่านอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เพราะท่านเป็นผู้พิชิตอาณาจักรเปอร์เซียมาญูซีย์ พวกเขาเทิดทูนอบู ลุอ์ลุอ์ (ฆาตกรที่แทงท่านอุมัร) และจัดเทศกาลเฉลิมฉลองที่หลุมศพของเขาเป็นประจำทุกปี พวกเขาเชื่อว่าจักรพรรดิคุสโร(กิสรอ)จะได้รับการปลดปล่อยจากนรก พวกเขาสนับสนุนการผิดประเวณีด้วยการสนับสนุนให้ทุกคนแต่งงานมุตอะฮฺแม้ว่าจะครั้งเดียวก็ตาม

    - พวกเขาเชื่อว่า อิมามทั้งสิบสองคน เราะหิมะฮุมุลลอฮฺ ตะอาลา นั้น ดีเลิศและประเสริฐกว่าเหล่าศาสดา ยกเว้นศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม โดยอิมามทั้งหมดเป็นผู้รู้สิ่งเร้นลับ ทุกคนวาญิบต้องเชื่อฟัง ท่านเหล่านั้นยังสถิตย์อยู่ในโลกนี้และเป็นคนบริสุทธิ์ปลอดมลทิน (มะอฺศูม) ผู้ใดที่ไม่ศรัทธาในเรื่องนี้ถือว่าเป็นคนกาฟิรที่สามารถฆ่าและทำลายทรัพย์สินได้ ด้วยเหตุนี้ชีอะฮฺจึงมองว่าชาวซุนนีย์เป็นกาฟิรที่สามารถฆ่าล้างได้ดังที่พวกเขาได้กระทำในอิรัก อัฟกานิสถาน อิหร่าน และเลบานอน ด้วยเหตุผลเพราะชาวซุนนีย์เหล่านั้นไม่เห็นด้วยกับเรื่องโป้ปดมดเท็จที่พวกเขากุขึ้น

    - ชาวชีอะฮฺจะเฉลิมฉลอง ณ หลุมฝังศพและขอความเป็นศิริมงคลและความช่วยเหลือจากผู้เสียชีวิตที่ล่วงลับ ตลอดจนยึดคนเหล่านั้นเป็นที่พึ่งในยามทุกข์ โดยไม่แยแสต่อคำปรารภของอัลลอฮฺตะอาลาที่ว่า

    ﴿ وَمَنۡ أَضَلُّ مِمَّن يَدۡعُواْ مِن دُونِ ٱللَّهِ مَن لَّا يَسۡتَجِيبُ لَهُۥٓ إِلَىٰ يَوۡمِ ٱلۡقِيَٰمَةِ وَهُمۡ عَن دُعَآئِهِمۡ غَٰفِلُونَ ٥ وَإِذَا حُشِرَ ٱلنَّاسُ كَانُواْ لَهُمۡ أَعۡدَآءٗ وَكَانُواْ بِعِبَادَتِهِمۡ كَٰفِرِينَ ٦ ﴾ [الأحقاف: ٥-٦]

    ความว่า: “และผู้ใดเล่าที่หลงผิดมากไปกว่าผู้ที่วิงวอนขอจากผู้อื่นนอกจากอัลลอฮฺที่ไม่อาจจะสนองตอบคำขอของเขาจวบจนวันกิยามะฮฺ โดยที่คนเหล่านั้นไม่เคยรับรู้ใดๆ เกี่ยวกับการวิงวอนร้องขอของพวกเขาเลย และครั้นเมื่อปวงมนุษย์ถูกฟื้นชีพใหม่คนเหล่านั้นก็จะเป็นศัตรูกับพวกเขาและไม่ยอมรับการภักดีจากพวกเขา” (อัล-อะห์กอฟ 5-6)

    และท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า

    «لعنةُ اللهِ على اليهودِ والنَّصارى اتّخَذوا قُبورَ أنبِيائِهم مَساجد» [رواه البخاري ومسلم].

    ความว่า: “ความหายนะจากอัลลอฮฺจงบังเกิดแด่พวกยิวและคริสเตียน เนื่องจากพวกเขายึดเอาหลุมฝังศพของเหล่าศาสดาของพวกเขาเป็นที่สักการะ” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)

    และท่านยังได้กล่าวว่า

    «لا تُشَدُ الرِّحالُ إلاّ إلى ثَلاثةِ مَساجدَ: المَسجِدِ الحَرامِ، ومسجدِي هذا، والمسجدِ الأقصى» [رواه البخاري ومسلم]

    ความว่า: “ไม่อนุญาตให้ตั้งใจมุ่งมั่นเตรียมสัมภาระและพาหนะเดินทางเพื่อทำอิบาดะฮฺที่มัสยิดใด ยกเว้นสามมัสยิดเท่านั้น คือ มัสยิดอัล-หะรอมที่มักกะฮฺ มัสยิดของฉันแห่งนี้ และมัสยิดอัล-อักศอ” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์และมุสลิม)

    - พวกเขายังเชื่อว่าวาญิบจะต้องทำการ "ตะกียะฮฺ" หมายถึง ต้องแสแสร้งไม่แสดงธาตุแท้ต่อหน้าชาวซุนนีย์เพื่อหลอกลวงให้ตายใจ นั่นหมายถึงการเป็นมุนาฟิก ตีสองหน้าเต็มรูปแบบ อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า

    ﴿ ۞وَإِذَا رَأَيۡتَهُمۡ تُعۡجِبُكَ أَجۡسَامُهُمۡۖ وَإِن يَقُولُواْ تَسۡمَعۡ لِقَوۡلِهِمۡۖ كَأَنَّهُمۡ خُشُبٞ مُّسَنَّدَةٞۖ يَحۡسَبُونَ كُلَّ صَيۡحَةٍ عَلَيۡهِمۡۚ هُمُ ٱلۡعَدُوُّ فَٱحۡذَرۡهُمۡۚ قَٰتَلَهُمُ ٱللَّهُۖ أَنَّىٰ يُؤۡفَكُونَ ٤ ﴾ [المنافقون: ٤]

    ความว่า: “ครั้นเมื่อเจ้าเห็นพวกเขา เจ้าจะรู้สึกประทับใจในรูปร่างทรวดทรงของพวกเขา และหากพวกเขาพูด เจ้าก็จะเชื่อฟังคำพูดของพวกเขา ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วพวกเขานั้นเป็นเหมือนท่อนไม้ที่ถูกพาดทิ้ง พวกเขาหาว่าทุกเสียงกรีดร้องหวังจ้องทำลายพวกเขา พวกเขาคือศัตรู เจ้าจงระวังพวกเขาให้ดี ขอให้อัลลอฮฺทรงพิฆาตพวกเขา พวกเขาแปรผันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรกัน” (อัล-มุนาฟิกูน 4)

    บันทึกของชารอนที่เปิดโปงเรื่องราวของชีอะฮฺ

    แอเรียล ชารอนได้เขียนในบันทึกของเขาว่า(บันทึกของชารอน พิมพ์โดยสำนักพิมพ์เบซาน หน้า 584) “เราได้กล่าวสาธยายเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างชาวคริสเตียนกับกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกชีอะฮฺและพวกดรูซ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ฉันได้ขอให้พวกเขากระชับความสัมพันธ์กับสองพวกกลุ่มน้อยนี้ ถึงขนาดฉันได้เสนอให้มอบอาวุธที่อิสราเอลมอบให้พวกเขาไปมอบแด่ชาวชีอะฮฺ แม้เป็นเพียงเชิงสัญลักษณ์แบบเอาหน้าก็ตาม สิ่งที่เป็นปัญหาของพวกเขาอีกประการหนึ่งก็คือการเผชิญหน้ากับองค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์ ซึ่งโดยไม่ต้องทะลวงลึกในรายละเอียด ฉันกล้าฟันธงเลยว่า ฉันไม่เคยเห็นชีอะฮฺเป็นศัตรูกับอิสราเอลเลยในอนาคต”

    โคไมนีให้คำฟัตวาว่าสามารถระบายความใคร่กับทารกหญิงได้

    โคไมนีกล่าวในหนังสือ "ตะห์รีร อัล-วะสีละห์" (เล่ม 2 หน้า 241 ประเด็นที่ 12) ว่า การระบายความใคร่กับทารกหญิงในลักษณะกอดจูบและสัมผัสขา หมายถึงการสอดอวัยวะเพศของผู้ชายที่หว่างขาเด็กทารกหญิง เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้

    อัช-ชีรอซีย์ แห่งอิหร่านออกคำฟัตวาให้ฆ่าชาวซุนนีย์และทำลายมัสยิดซุนนีย์

    อัล-มุจญ์ตะบา อัช-ชีรอซีย์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางศาสนา ณ เมืองกัรบาลาอ์ ได้ให้สัมภาษณ์ทางเว็บไซต์อัลบุรฮานของ โดยยกอายะฮฺว่า

    ﴿ إِنَّمَا جَزَٰٓؤُاْ ٱلَّذِينَ يُحَارِبُونَ ٱللَّهَ وَرَسُولَهُۥ وَيَسۡعَوۡنَ فِي ٱلۡأَرۡضِ فَسَادًا أَن يُقَتَّلُوٓاْ أَوۡ يُصَلَّبُوٓاْ أَوۡ تُقَطَّعَ أَيۡدِيهِمۡ وَأَرۡجُلُهُم مِّنۡ خِلَٰفٍ أَوۡ يُنفَوۡاْ مِنَ ٱلۡأَرۡضِۚ ذَٰلِكَ لَهُمۡ خِزۡيٞ فِي ٱلدُّنۡيَاۖ وَلَهُمۡ فِي ٱلۡأٓخِرَةِ عَذَابٌ عَظِيمٌ ٣٣ ﴾ [المائ‍دة: ٣٣]

    ความว่า: “แท้จริงแล้ว บทลงโทษสำหรับผู้ที่ต่อต้านอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ และพยายามสร้างความหายนะบนหน้าแผ่นดินนั้น คือ จะต้องถูกประหารชีวิต หรือ ถูกเสียบประจาน หรือ ถูกตัดมือหรือเท้าสลับข้างกัน หรือ ถูกเนรเทศออกจากบ้านเกิด สิ่งดังกล่าวนี้ เป็นความอัปยศในโลกดุนยาสำหรับพวกเขา ส่วนในวันอาคิเราะฮฺ พวกเขาจะต้องได้รับโทษทัณฑ์อันใหญ่หลวง” (อัล-มาอิดะฮฺ 33)

    หลังจากนั้น ก็ได้ให้คำอธิบายและแปรคำสอนอย่างขนลุกขนพองแบบพวกเคาะวาริจญ์ ที่มักจะใช้อายะฮฺเพื่อเอาผิดต่อนักรบชาวซุนนีย์ ซึ่ง ณ ที่นี่ ข้าพเจ้าขอถอดคำพูดของเขาเพื่อเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงหลักยึดมั่นในการตราชาวซุนนีย์เป็นกาฟิรของชาวชีอะฮฺ อัช-ชีรอซีย์ได้กล่าวว่า “พวกวะฮาบีย์...พวกก่อการร้าย...พวกกาฟิร...พวกโหด...พวกป่าเถื่อน หากพวกเขามิใช่ผู้ที่อายะฮฺนี้หมายถึง ก็จะเป็นใครอีกเล่าที่อายะฮฺนี้ต้องการบอก? คนที่สนับสนุนพวกวะฮาบีย์ผู้ก่อการร้ายที่เป็นกาฟิรและโหดร้ายป่าเถื่อน ใครอีกเล่าหากมิใช่พวกนี้? ถ้าไม่เช่นนั้น เราก็ต้องเป็นคนปฏิเสธต่ออัลกุรอาน ดังนั้น เราจะต้องกล้าที่ประกาศสิ่งที่ยึดมั่น นั่นคือ เมื่อศรัทธาต่ออัลกุรอานแล้ว พวกวะฮาบีย์ผู้ก่อการร้ายที่เป็นคนกาฟิรและโหดร้ายป่าเถื่อนนั้นวาญิบจะต้องฆ่าพวกมันเสีย ตลอดจนทุกคนที่สนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น นักวิชาการ หรือ ชาวบ้านทั่วไปก็จำต้องฆ่ามันเสีย ผู้ใดที่ไม่เห็นด้วยกับการฆ่าพวกนี้และฆ่าพวกที่สนับสนุนมัน ก็ถือว่าคนนี้ได้ปฏิเสธอัลกุรอานอย่างชัดเจน ไม่มีปัญหาล่ะ... พวกคอมมิวนิสต์ก็ปฏิเสธอัลกุรอานเหมือนกัน แต่พวกคอมมิวนิสต์เขามีความกล้าหาญทางวรรณกรรม ก็ปล่อยให้พวกมันมีความกล้าหาญทางความคิดไปเถอะ...”

    อัช-ชีรอซีย์ได้ตบท้ายด้วยคำว่า “แล้วอีกอย่าง คือ อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวในอัลกุรอานว่า

    ﴿وَٱلَّذِينَ ٱتَّخَذُواْ مَسۡجِدٗا ضِرَارٗا وَكُفۡرٗا وَتَفۡرِيقَۢا بَيۡنَ ٱلۡمُؤۡمِنِينَ وَإِرۡصَادٗا لِّمَنۡ حَارَبَ ٱللَّهَ وَرَسُولَهُۥ مِن قَبۡلُۚ وَلَيَحۡلِفُنَّ إِنۡ أَرَدۡنَآ إِلَّا ٱلۡحُسۡنَىٰۖ وَٱللَّهُ يَشۡهَدُ إِنَّهُمۡ لَكَٰذِبُونَ ١٠٧﴾ [التوبة: 107]

    ความว่า: “และผู้ที่ยึดเอามัสยิดเป็นสถานบ่อนทำลาย เพาะความปฏิปักษ์ สร้างความแตกแยกระหว่างชาวมุสลิม และเตรียมการเพื่อคนที่ต่อต้านอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ไว้ก่อนหน้า พวกเขาจะสาบานอย่างขันแข็งว่าพวกเรานี้หวังดีแท้ๆ ทว่าอัลลอฮฺทรงเป็นสักขีว่าพวกเขาคือพวกโกหกอย่างแน่นอน” (อัต-เตาบะฮฺ 107)

    อัช-ชีรอซีย์ ได้กล่าวว่า “โอ้ มิตรสหายฉัน ที่จริงแล้ว อายะฮฺต่างๆที่ระบุเกี่ยวกับมัสยิดฎิรอรฺนั้น จะหมายถึงมัสยิดที่พวกก่อการร้ายวะฮาบีย์กาฟิรผู้ป่าเถื่อนได้สร้างไว้เพื่อรองรับกิจกรรมของพวกเขา ดังนั้น มัสยิดทุกมัสยิดจึงจะต้องถูกรื้อ ทำลาย และเผาทิ้ง หากมิเช่นนั้น เราทุกคนก็ต้องเป็นผู้ปฏิเสธอัลกุรอาน เราจะต้องเป็นคนซื่อสัตย์ต่อตัวเองและต่ออัลลอฮฺ อีกทั้งต่อครอบครัวของท่านนบีและชาวมุสลิมและมุสลิมะฮฺทั้งมวล หากอายะฮฺเกี่ยวกับมัสยิดฎิรอรฺนี้ไม่ถูกแปรความหมายถึงมัสยิดของพวกวะฮาบีย์ที่ชั่วร้ายและป่าเถื่อนแล้ว มันจะถูกแปรถึงมัสยิดไหนอีก? มัสยิดเหล่านี้ ต้องรีบทำลายโดยด่วน ต้องรีบเผา และทุบทิ้งทันทีหากเราเป็นคนมุสลิม หรือหากเราไม่ใช่มุสลิม เราก็ต้องกล้าแสดงออกทางความคิดเหมือนกับที่พวกคอมมิวนิสต์มันกล้าบอกว่า พระเจ้าเป็นเรื่องฟั่นเฟือนไร้สาระ ปล่อยให้พวกเขาพูดไปซิว่าเราไม่ศรัทธาในอัลกุรอาน

    “โอ้ พี่น้องของฉัน แหล่งขายสุรายังมีอยู่ในบ้านเมือง แสดงว่า กฎหมายอิสลามยังไม่ถูกดำเนินการในประเทศนี้ และยังมีมัสยิดก่อการร้ายวะฮาบีย์อยู่ นั่นแสดงให้เห็นว่ากฎหมายอิสลามยังไม่ได้รับการกำชับปฏิบัติในบ้านนี้เมืองนี้เช่นกัน...

    “พี่น้องที่รัก...หากว่ายังมีวะฮาบีย์ก่อการร้ายที่กาฟิรโหดร้ายป่าเถื่อนอาศัยอยู่ที่ไหน และยังมีผู้สนับสนุนของมันลอยนวลโดยไม่ถูกฆ่า ก็แปลว่าคำดำรัสของ อัลลอฮฺ ที่ว่า

    ﴿ إِنَّمَا جَزَٰٓؤُاْ ٱلَّذِينَ يُحَارِبُونَ ٱللَّهَ وَرَسُولَهُۥ وَيَسۡعَوۡنَ فِي ٱلۡأَرۡضِ فَسَادًا أَن يُقَتَّلُوٓاْ ﴾ [المائ‍دة: ٣٣]

    “แสดงว่าอายะฮฺนี้ยังไม่ได้รับการปฏิบัติ ไม่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม การมีมัสยิดวะฮาบีย์ชั่วช้าอยู่เพียงนาทีเดียวก็หมายความว่าเราไม่ปฏิบัติต่ออายะฮฺเกี่ยวกับมัสยิดฎิรอรฺนี้”

    นอกจากนั้น ในคำพูดที่น่าอันตรายนี้ อัช-ชีรอซีย์ยังได้เชิญชวนให้กวดขันกับบุคคลที่ชื่อว่าพวกอุละมาอ์แห่งอบู บักรฺ หมายถึง อุละมาอ์สายซุนนีย์ เขากล่าวว่า “ทุกคนที่ไม่กล้าทักท้วงและต่อต้านการปฏิบัติของพวกวะฮาบีย์ที่ชั่วช้าจำเป็นต้องได้รับการตอบโต้เหมือนกับที่ต้องทำกับพวกวะฮาบีย์ที่ชั่วช้าเองเช่นกัน”

    เขายังกล่าวทิ้งท้ายว่า “พวกวาฮะบีย์ผู้ชั่วร้ายนั้นมันต่อต้าน อัลลอฮฺ ต่อต้านเราะสูล และ ต่อต้านอะมีรุลมุอ์มินีนและผู้นำแห่งบรรดาสตรีทั้งโลก และ ต่อต้านผู้มะอฺศูม และรุกรานชาวมุสลิม (หมายถึงคนชีอะฮฺ) เพราะคนเหล่านั้นภักดีต่ออัลลอฮฺ อัลกุรอาน และ อะฮฺลุลบัยตฺ”

    รัฐมนตรีชีอะฮฺหลอกลวงชาวมุสลิมและสร้างเหตุการณ์นองเลือดที่ไม่เคยปรากฏ

    กลางศตวรรษที่เจ็ดแห่งฮิจเราะห์ศักราช เคาะลีฟะฮฺอัล-มุอฺตะศิมแห่งราชวงศ์อับบาสิยะฮฺได้แต่งตั้งชาวชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺคนหนึ่งให้เป็นรัฐมนตรี คือ อิบนุล-อัลเกาะมีย์ และแล้วอิบนุล-อัลเกาะมีย์ซึ่งเป็นชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺคนนี้ก็ปฏิบัติหน้าที่ทำการบั่นทอนราชวงศ์อับบาสิยะฮฺโดยการโน้มน้าวให้เคาะลีฟะฮฺจัดการลดจำนวนทหาร หลังจากนั้นแอบเขียนจดหมายลับยุยงพวกตาตาร์ยกทัพมาบุกแบกแดด ทำให้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่กับชาวแบกแดดในปี 656 ฮ.ศ. ที่ไม่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น พวกตาตาร์ได้ฆ่าเคาะลีฟะฮฺ ผู้นำ อุละมาอ์ และเหล่าฮาฟิซเป็นจำนวนประมาณสองล้านคน กระทั่งเลือดได้หลั่งเจิงนองอาบถนนสายต่างๆ เป็นเวลานาน หลังจากนั้นได้เกิดโรคห่าระบาดไปทั่วอันเนื่องมาจากซากศพคนตายที่กลาดเกลื่อนเต็มเมือง

    เหตุการณ์นี้เป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่ม เช่น อัล-บิดายะฮฺ วัน-นิฮายะฮฺ ของอิบนุ กะษีร, อัล-กามิล ของ อิบนุลอะษีร, หรือ ตารีฆ อิบนุ ค็อลดูน ของ อิบนุค็อลดูน ตลอดจน ตารีฆ อัล-คุลาฟาอ์ ของอัส-สุยูฏีย์ เป็นต้น

    รัฐเศาะฟะวียะฮฺสมคบกับจักรวรรดิล่าเมืองขึ้นเพื่อต่อต้านชาวซุนนีย์

    ในปีที่ 907 ฮ.ศ. รัฐเศาะฟะวียะฮฺที่เป็นชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ ได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ณ ดินแดนอิหร่านภายใต้การนำของ ชาห์ อิสมาอีล บิน หัยดัร อัศ-เศาะฟะวีย์ เขาได้ฆ่าชาวมุสลิมเป็นจำนวนเกือบหนึ่งล้านคนเพียงเพราะคนเหล่านั้นไม่ศรัทธาในมัซฮับชีอะฮฺ เมื่อเขามาเยือนแบกแดด เขาได้ทำการสาปแช่งเหล่าเคาะลีฟะฮฺ อัร-รอชิดีน อย่างโจ่งแจ้ง พร้อมกับฆ่าคนที่ไม่ยึดมั่นในทางแนวชีอะฮฺ เขายังได้ขุดหลุมฝังศพผู้นำชาวซุนนีย์หลายคน เช่น หลุมศพอิมาม อบู ฮะนีฟะห์ เราะฮิมะฮุลลอฮฺ นอกจากนั้น อีกหนึ่งผลงานที่สำคัญของชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺที่รัฐบาลเศาะฟะวีย์สร้างขึ้นก็คือ การที่ชาห์ อับบาส อัล-กะบีร อัศ-เศาะฟะวีย์ได้จัดเทศกาลเวียนวนรอบหลุมฝังศพ เพื่อแบนมิให้ผู้คนไปทำหัจญ์ที่มักกะฮฺ ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺยังมีผลงานหายนะอันน่าตกใจในการต่อต้านรัฐอุษมานียะฮฺในนามรัฐเศาะฟะวีย์ที่ปกครองอิหร่านในห้วงนั้นอีกด้วย มาดูกันว่าตลอดสมัยกาลของรัฐอุษมานียะฮฺนั้น ชีอะฮฺเขาสร้างผลงานร้ายกาจทิ้งไว้อย่างไรบ้าง

    หนึ่ง ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ ทำข้อตกลงกับพวกโปรตุเกสเพื่อต่อต้านรัฐอุษมานียะฮฺ ในยุคของชาห์อิสมาอีล อัศ-เศาะฟะวีย์

    เราเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักกับตระกูลเศาะฟะวีย์ว่ามาจากเศาะฟียุดดีน อัล-อัรดุบัยลีย์ (มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ. 650-735 หรือปี ค.ศ. 1252-1343) คนผู้นี้คือต้นตระกูลของชาห์ อิสมาอีล ผู้ก่อตั้งรัฐเศาะฟะวีย์ โดยเชคเศาะฟียุดดีนสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในสังคมอิหร่านผ่านการอุ้มชูของประชาชนกลุ่มหนึ่ง ว่ากันว่าเศาะฟียุดดีนและลูกหลานของเขาสืบตระกูลจากท่านอลี บิน อบีฏอลิบ เขาใช้วิธีตะกียะฮฺด้วยการอำพรางว่าตัวเองเป็นชาวซุนนีย์ที่ยึดถือมัซฮับชาฟิอีย์

    ครั้นเมื่อโอกาสแห่งการประกาศตัวเป็นชีอะฮฺได้มาถึง อิสมาอีล อัศ-เศาะฟะวีย์ หลานคนหนึ่งของเขาก็ประกาศตัวเองเป็นชีอะฮฺ หลังจากที่เขาได้ยัดเยียดมัซฮับชีอะฮฺแก่ชาวอิหร่านที่ส่วนใหญ่เป็นชาวซุนนีย์ พร้อมๆ กับประกาศให้มัซฮับชีอะฮฺเป็นมัซฮับทางการของอิหร่านด้วยการบังคับขู่เข็ญและรังควาญประชาชน และเท่านั้นยังไม่พอ เขายังทำการเคลื่อนย้ายกิจกรรมชวนชวนสู่สิ่งชั่วช้าไปยังเมืองต่างรอบๆ เมืองหลวง เขาพิชิตดินแดนที่ไม่ใช่อาหรับได้ทั้งหมด เขาฆ่าผู้แพ้ที่เขาห้ำหั่น ส่วนทรัพย์สมบัติที่ปล้นสะดมได้เขาจะทำการแบ่งปันให้กับทหารผู้ติดตามโดยที่ตัวเองไม่เอาด้วยแต่อย่างใด ทั้งนี้ อาณาเขตที่เขาสามารถครอบครอบนั้นได้แก่ ตับรีซ อาเซอร์ไบจัน แบกแดด อิรักไม่ใช่อาหรับ อิรักอาหรับ และคุรอซาน เขาได้อ้างเป็นพระเจ้าและบังคับให้เหล่าทหารต้องก้มกราบต่อเขา

    กุฏบุดดีน อัล-หะนะฟีย์ ได้เขียนในหนังสือ อัล-อะอฺลาม ว่า “เขาฆ่าผู้คนมากกว่าหนึ่งล้านคน โดยฆ่าอุละมาอ์คนสำคัญหลายคนอย่างชนิดที่ไม่ต้องการให้มีอุละมาอ์หลงเหลือในดินแดนที่ไม่ใช่อาหรับ เขาได้เผาตำราต่างๆ ตลอดจนเผาอัลกุรอานของคนเหล่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นผู้ที่จริงจังมากๆ กับแนวทางของชีอะฮฺ”

    ชาห์ อิสมาอีล กลายเป็นผู้นำแนวหน้าของชีอะฮฺและเอาจริงเอาจังกับงานเผยแพร่ความคิดนี้ งานเผยแพร่ของเขาได้ขยายวงกว้างจนประชิดชายแดนรัฐบริวารของรัฐอุษมานียะฮฺ ทำให้แนวคิดที่เขาเผยแพร่ เช่น การกล่าวหาบรรดาเศาะหาบะฮฺว่าเป็นคนกาฟิร การสาปแช่งมุสลิมยุคแรก กล่าวหาว่าอัลกุรอานถูกสับเปลี่ยนแกไขดัดแปลง และหลักความเชื่ออื่นๆ ต้องถูกตีกลับไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งเป็นเขตซุนนีย์ สุลฏอน สะลีม ผู้นำรัฐซุนนีย์ในขณะนั้นได้ลุกขึ้นต่อต้าน โดยประกาศในที่ประชุมต่อหน้าผู้นำคนสำคัญของรัฐ บรรดาอัยการ นักการเมือง และเหล่าอุละมาอ์ของประเทศในปี ค.ศ. 920-1514 ว่า อิหร่านโดยรัฐบาลชีอะฮฺและมัซฮับชีอะฮฺเป็นอันตรายอย่างมากต่อรัฐอิสลามอุษมานียะฮฺและต่อโลกมุสลิมทั้งหมด และสำหรับเขาเห็นว่าการต่อสู้ญิฮาดเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำต่อรัฐเศาะฟะวียะฮฺนี้ ซึ่งความเห็นของท่านเห็นพ้องกับด้วยกับความคิดของบรรดาอุละมาอ์ซุนนีย์ในประเทศ

    ชาห์ อิสมาอีลได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวซุนนีย์ในอิรักอย่างกว้างขวาง เขาทำลายมัสยิดและหลุมฝังศพของพวกเขา

    ทั้งนี้ ในรัฐเศาะฟะวียะฮฺที่ชาห์อิสมาอีลเป็นผู้ก่อตั้งนั้น ได้มีการบังคับให้ประชาชนยึดถือมัซฮับชีอะฮฺอิมามสิบสอง พร้อมประกาศให้เป็นมัซฮับประจำรัฐอย่างเป็นทางการ เขาได้ทารุณชาวซุนนีย์ เขาใช้การสาปแช่งท่านเคาะลีฟะห์ทั้งสามท่าน (หมายถึงอบูบักรฺ อุมัร และอุษมาน) เป็นเครื่องวัดความภักดีของประชาชน โดยผู้ใดที่ได้ยินคำสาปแช่งจะต้องตะโกนเพิ่มเติมว่า "บีช บาด กัม บาด" คำนี้เป็นภาษาอาเซอร์ไบจัน หมายถึงว่าเขาได้ยินคำสาปแช่งแล้วและขอสาปแช่งต่อ ส่วนผู้ได้ยินที่ไม่ยอมกล่าวคำนี้ จะถูกตัดคอทันที โดยชาห์จะสั่งให้ประจานการสาปแช่งตามท้องถนน ตลาด และบนมิมบัรเพื่อขู่คนที่คิดสู้ว่าจะต้องโดนตัดคอ และแล้วรัฐอุษมานียะฮฺก็เผชิญหน้ากับรัฐเศาะฟะวียะฮฺ โดยพวกอุษมานียะฮฺมีชัยเหนือทหารเศาะฟะวีย์ในสมรภูมิ "ญาลดีรอน" พวกเขายกทัพเข้าตีเมืองตับรีซในคราบอัศวินผู้พิชิต และสุลต่านสะลีมที่หนึ่งก็สามารถกอบกู้อาณาบริเวณที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นแก่พวกเศาะฟะวียะฮฺได้

    ณ จุดนี้เอง บทบาทไร้จรรยาบรรณของพวกชีอะฮฺก็อุบัติขึ้นภายหลังที่พวกเขาพ่ายแพ้ต่อชาวซุนนีย์ พวกเขาได้ไปสมคิดกับพวกคริสเตียนเพื่อต่อต้านชาวมุสลิมโดยได้ทำสนธิสัญญากับพวกโปรตุเกสเพื่อต่อต้านรัฐอุษมานียะฮฺซึ่งมีข้อตกลงว่า "โปรตุเกสจะต้องส่งกองทัพเรือเพื่อช่วยเหลือเปอร์เซียในการต่อสู้กับบาห์เรนและเมืองเกาะฏีฟ พร้อมกันนั้นโปรตุเกสยังจะต้องส่งความช่วยเหลือแก่ชาห์อิสมาอีลเพื่อปราบกบฎในเมืองมักรอนและบลูจิสถาน และให้ทหารโปรตุเกสและเปอร์เซียร่วมมือกันเพื่อต่อต้านรัฐอุษมานียะฮฺ"

    ความเชื่อมั่นของเหล่าศัตรูอิสลามที่มีต่อชีอะฮฺนั้นมีมากถึงขนาดที่บัรกูกได้ส่งหนังสือตอบรับแก่ชาห์อิสมาอีลว่า "ข้าพเจ้านับถือท่านเป็นอย่างสูงที่ท่านได้ให้เกียรติต่อชาวคริสเตียนในประเทศของท่าน และข้าพเจ้าพร้อมที่จะส่งกองทัพเรือ ทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อใช้ในการถอนรากถอนโคนพวกเติร์กในอินเดีย และเมื่อใดที่ท่านต้องการจะยกกองทัพเพื่อบดขยี้ประเทศอาหรับหรือจู่โจมมักกะห์ ท่านจะประจักษ์ว่าข้าพเจ้าจะอยู่เคียงข้างท่านในทะเลแดงหน้าเมืองเจดดาห์ หรือที่ เอเดน หรือ บาห์เรน หรือ เกาะฏีฟ หรือ เมืองบาสร่าห์ และท่านชาห์จักพบว่าข้าพเจ้าจะอยู่ร่วมกับท่านตลอดแนวฝั่งทะเลเปอร์เซีย และจักช่วยเหลือท่านในทุกสิ่งที่ประสงค์"

    ในบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างโปรตุเกสกับรัฐเศาะฟะวียะฮฺได้มีการตกลงในอันที่จะแบ่งตะวันออกกลางเป็นเขตยึดครองของทั้งสองฝ่าย โดยเสนอให้รัฐเศาะฟะวีย์ยึดครองอียิปต์ และให้โปรตุเกสยึดครองปาเลสไตน์ ยิ่งกว่านั้น ชาห์ยังไม่หยุดหย่อนที่จะควานหาพันธมิตรเพื่อต่อต้านรัฐอุษมานียะห์ที่เป็นก้างขวางคอขวางไม่ให้ตัวเองมีทางออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เขาพร้อมเสนอที่จะผูกมิตรกับใครๆ ก็ตามแม้กับชาวโปรตุเกสที่เป็นศัตรูร้ายของโลกอิสลามในตอนนั้น ซึ่งเป็นโอกาสดีของพวกโปรตุเกสที่กำลังหวาดผวากับกองกำลังอิสลามในน่านน้ำอาหรับพอดี เมื่อมีคู่ร่วมงานจึงรีบตอบรับทันที ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาห์จึงยอมแลกเมืองฮอร์มูสให้กับพวกโปรตุเกสเพื่อให้ได้เมืองอัลอะห์สาอ์มาเป็นเมืองของตน

    สอง สนธิสัญญาระหว่างชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺกับชาวคริสเตียนเพื่อต่อต้านรัฐอุษมานียะฮฺ ในยุค อับบาส อัศ-เศาะฟะวีย์

    ชาห์ อับบาส อัศ-เศาะฟะวีย์ได้เขย่ารัฐอุษมานียะฮฺและเริ่มปฏิบัติชิงดินแดนอิรักที่ไม่ใช่อาหรับ เขาได้ยึดเมืองตับรีซ วาน และอื่นๆ เขายังสามารถยึดครองแบกแดดได้ ชาห์ อับบาส อัศ-เศาะฟะวีย์ได้ลงโทษขั้นรุนแรงต่อประชาชนชาวซุนนีย์ที่ถือเป็นศัตรูของรัฐ ซึ่งหากไม่ถูกฆ่า ก็ต้องถูกควักลูกตา ไม่มีผู้ได้รับการยกเว้น เว้นแต่เขาผู้นั้นจะออกห่างจากมัซฮับซุนนีย์และประกาศเข้ารับมัซฮับชีอะฮฺ ชาห์ อัศ+เศาะฟะวีย์ยังได้ปฏิบัติการคุกคามผู้นับถือซุนนีย์และต่อต้านรัฐอุษมานียะฮฺที่คุ้มครองชาวซุนนีย์อย่างเข้มงวดด้วยการขอความร่วมมือและทำสนธิสัญญากับกษัตริย์คริสเตียนหลายองค์เพื่อโค่นและล้มล้างรัฐอุษมานียะฮฺ

    ชีอะฮฺ ทำลายมุสลิมในปากีสถาน

    หนึ่งในหลายเรื่องที่ชีอะฮฺทำลายโลกอิสลาม ก็คือการมีส่วนร่วมในการแบ่งดินแดนมุสลิมในปากีสถานตะวันออกให้แก่พวกฮินดู กระทั่งเกิดรัฐใหม่คือบังคลาเทศ เชคอิหสาน อิลาฮี ซอฮีร์ ได้กล่าวว่า “และนี่คือปากีสถานตะวันออก มันได้ตกเป็นเหยื่อที่ถูกทำลายโดยน้ำมือของลูกหลานชีอะฮฺก็อสลิบาช ยะห์ยา ข่าน ให้ตกอยู่ในอุ้งมือฮินดู” (ดู อัต-ตารีค อัล-อิสลามีย์ 19/157)

    ชีอะฮฺ ฆ่าชาวปาเลสไตน์ในเลบานอน

    ที่มาของขบวนการ "อามัล" ของชีอะฮฺที่เป็นต้นกำเนิดของขบวนการ "หิสบุลลอฮฺ" นั้นช่างโหดเหี้ยมนัก พวกเขาได้ฆ่าล้างชาวปาเลสไตน์ที่เป็นซุนนีย์นับร้อยคนในค่ายลี้ภัยของชาวปาเลสไตน์ ในห้วง 20/5/1985 -18/6/1985 เกิดการบีบคั้นต่างๆ นานาถึงขนาดทำให้ชาวซุนนีย์ปาเลสไตน์ถึงกับต้องกินแมวและสุนัข พวกเขาได้ปฏิบัติสิ่งที่ร้ายกว่าพวกยิว ทำให้ชาวปาเลสไตน์จำนวน 3,100 ต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บ พวกเขาฆ่าเชือดคออย่างโหดเหี้ยม ดังที่จะกล่าวต่อไป

    ชีอะฮฺ สนับสนุนคอมมิวนิสต์และอเมริกันในการทำลายอัฟกานิสถาน

    ความชั่วอันสกปรกที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังชีอะฮฺที่มีหัวโจกอิหร่านคอยเป็นที่ปรึกษาใหญ่ปรากฏภาพชัดเจน ในห้วงสงครามรัสเซียและอเมริกาที่อัฟกานิสถาน ซึ่งประเทศอิหร่านไม่เคยลังเล และไม่เกรงกลัวต่อบทบัญญัติหรือคำสอนทางศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น ในการผันตัวเองเป็นผู้สนับสนุนทางการทหารและการขนส่ง รวมทั้งเปิดด่านตลอดพรมแดนให้กองทัพรัสเซียและอเมริกาเข้าบุกโจมตีอัฟกานิสถาน หนำซ้ำยังได้ส่งกำลังทหารของตัวเองเข้าร่วมรมเคียงบ่าเคียงไหล่กับศัตรู โดยเฉพาะทางเขตของกองกำลังร่วมชาติตะวันตก และยังสนับสนุนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแก่กลุ่ม “ฮัซซาเราะฮฺ” และพรรค อัล-วะห์ดะฮฺ ที่เป็นชีอะฮฺ และพรรคอื่นๆ ที่มุ่งมาดเพื่อจะล้มรัฐบาลตอลิบันที่เป็นตัวแทนรัฐซุนนีย์เกิดใหม่แห่งนี้

    ชีอะฮฺ สนับสนุนให้อเมริกายึดครองอิรัก

    มีใครบ้างที่ไม่รู้เห็นบทบาทที่แท้จริงอันสกปรกของพวกชีอะฮฺในอิรักและพรรคพวกของพวกเขาจากอิหร่าน ในการร่วมมือสนับสนุนกองทัพอเมริกาให้เข้ามายึดประเทศ

    พวกชีอะฮฺฝันมาอย่างยาวนานเป็นร้อยๆ ปีที่จะเข้ามามีอำนาจในอิรักและขยายอิทธิพลในประเทศนี้ เพื่อทวงศักดิ์ศรีของอาณาจักร “เศาะฟะวียะฮฺ” และ “บุวัยฮียะฮฺ” กลับคืนมา ด้วยความที่คนพวกนี้ไม่ได้แยแสอะไรทั้งสิ้นกับข้อกำหนดต่างๆ ทางศาสนา พวกเขาจึงลุกขึ้นมาให้ความร่วมมือและวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วกับพวกอเมริกันในการยึดครองอิรัก ด้วยการประสานงานโดยตรงกับรัฐชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺในอิหร่านที่อยู่เบื้องหลังพรรคฝ่ายค้านหลายพรรคในอิรัก โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ชื่อว่า “สภาสูงเพื่อการปฏิวัติอิสลาม” ที่นำโดย มุหัมมัด บากิร อัล-หะกีม ซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิตทันทีที่เขากลับเข้ายังอิรัก

    สภาพความเป็นอยู่ของชาวซุนนีย์ในประเทศอิหร่าน

    ชาวซุนนีย์ในอิหร่านนั้นมีสภาพความเป็นอยู่ที่แสนลำบาก ต้องโดนบีบคั้นต่างๆ นานา เช่น ต้องใช้ชีวิตเยี่ยงทาส โดยในเมืองเตหะรานที่มีชาวซุนนีย์ของประเทศเป็นจำนวนเจ็ดล้านคนนั้นไม่มีมัสยิดของซุนนีย์แม้เพียงแห่งเดียว ในขณะที่มีโบสถ์คริสเตียนสิบสองแห่ง โบสถ์ยิวสี่แห่ง และไม่นับโบสถ์ของพวกบูชาไฟ แล้วไหนล่ะผู้ที่ลุกลี้ลุกลนจะช่วยเหลือพี่น้องและติดตามข่าวสารของพวกเขา ไหนล่ะนักเคลื่อนไหวเพื่อการปรองดองระหว่างซุนนีย์-ชีอะฮฺกับสภาพความจริงที่ข่มขื่นนี้ เตหะราน เมืองหลวงอิหร่านที่มีมุสลิมอยู่ประมาณหนึ่งล้านคนนั้นไม่มีมัสยิดของพวกเขาแม้แต่มัสยิดเดียว และบัดนี้ อิหร่านในฐานะผู้อุปภัมภ์ชาวชีอะฮฺในประเทศลุ่มอ่าวเปอร์เซียและที่อื่นๆ ได้พยายามเรียกร้องสิทธิและขอความยุติธรรมให้พวกเขา ในขณะที่ชาวซุนนีย์ในอิหร่านเองกลับไม่มีใครพูดถึง ทุกฝ่ายต่างอ่อนแอถึงขนาดไม่มีสถานทูตอาหรับประเทศใดสามารถที่จะสร้างมัสยิดซุนนีย์ได้ในเมืองเตหะรานได้ ไม่ว่าจะในยุคของอิมามโคไมนี หรือ ในสมัยเก่าก่อน ทั้งๆ ที่ชาวชีอะฮฺในประเทศอ่าวเปอร์เซียต่างๆ สามารถที่สร้างมัสยิดอย่างหรูหราตระการตา พวกเขาสร้างสถานที่สวดหุสัยนียะห์เพื่อเป็นที่วางแผนร้ายต่อชาวซุนนีย์และเป็นที่สาปแช่งบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮ์ โดยไม่มีใครขัดขวางเลย (ดูหนังสือ อะห์วาลฺ อะฮฺลิซซุนนะฮฺ ฟี อิรอน)

    ความร่วมมือด้านการเมืองและการทหาร ระหว่าง ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ กับพวกยิว

    ท่านชัยคุล อิสลาม ได้กล่าวว่า “เช่นนี้แหล่ะ เมื่อคนยิวสามารถก่อตั้งรัฐที่อิรักและที่อื่นๆ ที่มักจะมีพวก ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ คนเหล่านี้จะให้ความภักดีแก่พวกกาฟิร ไม่ว่าจะเป็นพวกมุชริกกีน พวกยิว พวกคริสเตียน และจะให้ความช่วยเหลือพวกเขาเสมอเพื่อทำสงครามกับชาวมุสลิมและต่อต้านในรูปแบบต่างๆ” (มินฮาจญ์ อัส-สุนนะฮฺ อัน-นะบะวียะฮฺ 3/378)

    ผู้คนต่างได้เห็นสิ่งที่เป็นการโต้ตอบทางวาจาระหว่าง ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ กับ พวกยิว และได้เห็นสิ่งที่พวก ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ อ้างเป็นสโลแกนเพื่อปกป้องศาสนาสถานอันทรงเกียรติและชีวิตเลือดเนื้อของพวกเขา ตลอดจนได้ยินสิ่งที่พวก ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ มักจะประกาศขู่พวกยิว จนมีบางคนที่เชื่อ ศรัทธา และยกนิ้วชื่นชอบให้พวกชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า หากพวกเขารู้ลึกถึงเสี้ยวความจริงแห่งความผูกพันเป็นมิตรระหว่าง ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺกับยิวที่เกิดขึ้น และความผูกพันทางทหารที่เหนียวแน่นระหว่างสองกลุ่มนี้ เขาจะคิดอย่างไร ความจริงนั้นมันไปไกลถึงระดับไหนแล้ว

    - บันทึกของชาวอเมริกันคนหนึ่งที่จัดขึ้นโดยศูนย์วิจัยของสภาคองเกรส อเมริกาและตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 1981 ระบุว่า อิสราเอลลักลอบนำอาวุธและชิ้นส่วนอุปกรณ์ส่งให้แก่อิหร่าน

    คำยันยืนของศูนย์วิจัยเพื่อสันติภาพแห่งกรุงสตอกโฮล์ม ระบุว่า การเพิ่มการผลิตอาวุธซึ่งคิดเป็นแปดสิบเปอร์เซนต์ของสินค้าส่งออกของอิสราเอล นั้น ได้แก่การส่งออกอาวุธและชิ้นส่วนอาวุธให้กับประเทศอิหร่าน (อ้างจากหนังสือพิมพ์ลูบาน่าของฝรั่งเศส) ในขณะที่หนังสือพิมพ์ออบเซิร์ฟเวอร์ แห่งกรุงลอนดอนในปี 1980 ได้ระบุว่า อิสราเอลได้บรรทุกชิ้นส่วนเครื่องบินรุ่นเอฟ 14 และชิ้นส่วนใบพัดและหัวจรวดบนเรือลำหนึ่งมุ่งสู่ประเทศอิหร่าน

    - รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล เดวิด ลีฟี่ ได้ยืนยันกับหนังสือพิมพ์ฮาร์ติส ของยิวเมื่อปี 1997 ว่า อิสราเอลไม่เคยพลั้งปากพูดออกมาแม้วันเดียวเลยว่าอิหร่านนั้นคือประเทศศัตรู

    - ริชารด์ เทมลส์ สายลับคนหนึ่งของอังกฤษ ได้เขียนในหนังสือเรื่อง มอสสาด ของเขาว่า มีเอกสารสำคัญประณามหน่วยข่าวกรองมอสสาดของอิสราเอลว่าประเทศนี้ได้จัดเตรียมเคมีภัณฑ์จำนวนหนึ่งให้กับประเทศอิหร่าน

    - ปี 1982 สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ระบุว่า ตอนที่บุกเมืองนับฏียะห์นั้น กองกำลังอิสราเอลไม่อนุญาตให้กลุ่มใดคงอยู่ประจำที่พร้อมอาวุธครบมือยกเว้นแก่กองกำลังของพรรค อามัล ที่เป็นชีอะฮฺ

    - หัยดัร อัด-ดาเยค แกนนำคนสำคัญของพรรคชีอะฮฺอามัลคนหนึ่งกล่าวกับนิตยสารอัล-อุสบูอฺ อัล-อะรอบีย์ ในปี 1983 ว่า เราได้ทำทียกอาวุธเพื่อต่อกรกับอิสราเอล แต่อิสราเอลได้อ้าแขนกว้างและยื่นความช่วยเหลือแก่เรา เราช่วยเหลืออิสราเอลในการถอนรากถอนโคนพวกก่อการร้ายปาเลสไตน์ที่ภาคใต้

    - ตำรวจสายลับนายหนึ่งของอิสราเอลได้เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์มะอาริฟของยิว เมื่อปี 1997 ว่า (แท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับประชาชนชาวชีอะฮฺเลบานอนนั้น ไม่จำเป็นต้องกำหนดเขตปลอดอาวุธ ด้วยเหตุนี้เอง รัฐอิสราเอลจึงได้รับการอารักขาจากกองกำลังของชีอะฮฺ ตลอดจนได้สร้างความเข้าใจในอันที่จะร่วมมือเพื่อลบล้างชาวปาเลสไตน์ที่เป็นผู้สนับสนุนอย่างลับๆ ให้กับขบวนการฮามาสและจีฮาด

    - หนังสือพิมพ์ อัส-สิยาสียะฮฺ ฉบับตีพิมพ์เมื่อวันที่ 24/4/2006 ได้ระบุว่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว วิศวกรจำนวนสามสิบคนได้กลับเข้าสู่ประเทศอิสราเอลแล้วหลังที่พวกเขาได้ใช้เวลายี่สิบวันเพื่อสร้างอาคารชั้นใต้ดินใกล้กับปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในเมืองบุชฮัรของอิหร่านที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเมื่อคราวก่อน และหนังสือพิมพ์ยาดีอูต อะห์รอนูต ได้อ้างคำให้การของวิศวกรคนหนึ่งว่า เรารู้สึกแปลกใจมากกับการกระทบกระทั่งทางคารมระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน เมื่อเทียบกับ ความลึกล้ำของการร่วมมือทางการค้าระหว่างสองประเทศ เขากล่าวเพิ่มเติมว่า เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น และเราไม่เคยรู้สึกว่ามีบาดหมางระหว่างกันจากมิตรของเราแม้เพียงนาทีเดียว ทั้งนี้ อิหร่านได้รักษาสัตยาบันที่ให้ไว้แก่อิสราเอลท่ามกลางสงครามอาหรับ-อิสราเอลด้วยการจัดเตรียมน้ำมันให้แก่อิสราเอลในช่วงสงครามน้ำมันที่อาหรับบอยคอตอิสราเอลในห้วงปี 1970 ที่ผ่านมา และให้ชาวยิวในอิหร่านหนึ่งแสนนายมีส่วนร่วมในการคุ้มกันความปลอดภัยของการขนส่งสินค้าระหว่างอิหร่าน-อิสราเอล

    - นักข่าวอังกฤษซีมอน ติสดาล ได้เขียนในหนังสือพิมพ์ การ์เดียน ฉบับเผยแพร่เมื่อ 30/6/2006 ในหัวข้อ สิ่งที่เกิดขึ้น มันเปิดโปงแก่นแท้ของอิหร่านต่อปัญหาอิรัก เขาเขียนว่า แท้จริง บรรดาเหล่าผู้นำของอิหร่านนั้น แม้ดูจะขัดแข้งกับสำนักงานบุช แต่พวกเขาก็อยากให้อเมริกาชนะ เพราะอเมริกาช่วยปลดปล่อยพวกจากอำนาจของซัดดัม

    ฉันขอถามหน่อยสิว่า หากชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺกับยิวมีความร่วมมือกันสูงถึงระดับนี้แล้ว เราพอจะหวังได้ไหมว่า พวกชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺจะช่วยเหลือพวกซุนนีย์

    ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ ได้กล่าวว่า “และแล้ว พวกเขาก็ร่วมมือกับพวก ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ เพื่อทำสงครามกับชาวมุสลิม ดังที่เป็นประจักษ์แก่ผู้คนมาแล้ว ในตอนที่ฮูลาโก ราชาของกาฟิร ได้เข้ามารุกรานรัฐเติร์กที่เมืองชามเมื่อปี 658 พวกเขาคือคนสำคัญที่ให้ความช่วยเหลือเพื่อปูฐานอำนาจและปฏิบัติตามคำสั่งของฮูลาโก เพื่อกำจัดกษัตริย์ของชาวมุสลิมให้สาบสูญไป และทุกๆ คนต่างก็รู้กันทั่วเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่อิรักเมื่อฮูลาโกเข้าบดขยี้อิรักและฆ่าเคาะลีฟะฮฺและเข่นฆ่าประชาชน โดยอิบนุล-อัลเกาะมีย์ รัฐมนตรีที่เป็นชาวชีอะฮฺและพรรคพวกเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนด้านต่างๆ และกับเจงกิสข่านพวกนี้ก็ปฏิบัติเช่นนี้เช่นเดียวกัน” กระทั่งท่านเชคได้เขียนว่า “สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความช่วยเหลือแก่พวกกาฟิรในการปราบปรามชาวมุสลิม การจงใจคัดสรรให้พวกนั้นมีชัยเหนืออิสลามและคนมุสลิม” (มินฮาจญ์ อัส-สุนนะฮฺ อัน-นะบะวียะฮฺ 3/378)

    สิ่งนี้และตัวอย่างอื่นๆ ต่างก็เป็นประจักษ์สำหรับคนที่พบเห็นและเป็นที่เลื่องลือสำหรับคนที่ไม่เคยประสบ และหากฉันจะบอกสิ่งที่ฉันพบเห็นเรื่องแบบนี้ แน่นอนคงยืดยาวหลายหน้ากระดาษเลยทีเดียว

    ฉันขอบอกว่า นี่คือประวัติศาสตร์ที่พวกชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺเคยก่อขึ้น มันกำลังทวนตัวมันเอง ทั้งการให้การภักดี หรือ การช่วยเหลือพวกยิวและคริสเตียนในอิรักเพื่อลบล้างชาวซุนนีย์และก่อตั้งรัฐชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺที่เป็นสมุนบริวารพวกยิวและคริสเตียนบนแผ่นดินแห่งยูเฟรติส (ลาเฮาลา วะลากุววะตา อิลลาบิลลาฮฺ) ขออัลลอฮฺทรงประทานความเมตตาแด่อิบนุตัยมียะฮฺที่ ได้กล่าวว่า “และพวก ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ นั้น ไม่มีงานอันใดที่พวกเขาทำ ยกเว้นงานทำลาย ชอนไช และรื้อถอนโครงสร้างอิสลาม” (มุคตะศ็อรฺ มินฮาจญ์ อัส-สุนนะฮฺ 2/781)

    คำให้การที่น่ากลัวจากหาริส อัล-ฎอรีย์

    หาริส อัลฎอรีย์ ผู้นำอุละมาอ์อิรักได้ให้การที่น่าสะพรึงกลัวว่า แท้จริงแล้ว จำนวนชาวซุนนีย์ที่ล้มตายด้วยน้ำมือของกองกำลัง บะดัร-เฆาะดัร-วะฟัรกุลเมาตฺ นั้นมีมากกว่าหนึ่งแสนคน

    ...สำหรับมัสยิดนั้น มันได้ถูกทำลายหลายสิบหลัง และตามประกาศของสภาอุละมาอ์แห่งอิรักระบุว่า ภายในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน มัสยิดจำนวน 180 หลังถูกทำลายหลังจากเกิดเหตุการณ์ระเบิดโดมทองคำ

    ชีอะฮฺทำกับชาวปาเลสไตน์ในเลบานอนและอิรักอย่างไรบ้าง?

    เมื่อยี่สิบปีเศษๆ ก่อนหน้านี้ (2/6/1985) กลิ่นศพได้คุกรุ่นลอยโชยแผ่ทั่วฟ้า ไม่ไกลจากนั้นนัก นักฆ่าจากขบวนการชีอะฮฺ "อะมัล" ต่างตะโกนด้วยความดีอกดีใจตามถนนสายต่างๆ ในเบรุตใต้ ว่า "ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ อาหรับคือศัตรูของอัลลอฮฺ" พวกเขาได้จัดงานฉลองฉลองการสังหารหมู่ในค่ายศ็อบรอที่ปาเลสไตน์ (ตามที่หนังสือพิมพ์ อัล-วะฏ็อน สัญชาติคูเวต ได้รายงานข่าวในวันถัดมา)

    พร้อมๆ กับกลิ่นคาวของซากศพ ความหวาดผวายังคงคลุมท้องฟ้าเหนือค่ายลี้ภัย "ยิวยังดีกว่าพวกมัน" หญิงชาวปาเลสไตน์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมๆ กับก้มหน้าควานหาศพญาติผู้ตกเป็นชะฮีด

    "กองกำลังอินกอซปาเลสไตน์ได้ประกาศคำแถลงการณ์เมื่อท้ายเดือนพฤษภาคม ในปีนั้น เรียกร้องให้ทุกฝ่ายช่วยยับยั้งชีอะฮฺให้หยุดการสังหารหมู่ต่อผู้ลี้ภัยในค่ายศ็อบรอ ปาเลสไตน์ พร้อมทั้งแสดงความอาลัยแด่ผู้ลี้ภัย...

    "บ้านเรือนโดนทุบทำลาย มัสยิดโดนงัดแงะ ถังเก็บน้ำโดนระเบิด ไฟฟ้าและประปาโดนตัดขาด ของบริโภคขาดตลาด ผู้ป่วยขาดหมอและหยูกยา ผู้เสียชีวิตเต็มเกลื่อนท้องถนนเพราะการล้อมของขบวนการอะมัลชาวชีอะฮฺ"

    หนังสือพิมพ์ เยรูซาเล็มโพสต์ ได้เขียนไว้ในวันที่ 23/5/1985 ว่า “ไม่ควรจะละเลยผลประโยชน์ร่วมกัน ระหว่างขบวนการ อะมัล กับ อิสราเอล ที่วางอยู่บนฐานแห่งความปรารถนาร่วมกันในการดูแลภูมิภาคตอนใต้ของเลบานอน ให้เป็นเขตปลอดภัยจากการโจมตีใดๆ ที่มุ่งเป้ามายังอิสราเอล” (อับดุลลอฮฺ อัล-เฆาะรีบ ในหนังสือ อะมัลและค่ายผู้อพยพปาเลสไตน์)

    นักธุรกิจเชื้อสายปาเลสไตน์ อับดุลกะรีม ดัรวีช ได้กล่าวว่า “ไม่มีฝ่ายที่น่าสงสัยใดๆ สามารถจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างชาวปาเลสไตน์และอิรักเหมือนที่พวกกองกำลังชีอะฮฺ “บะดัรฺ” ทำได้ เพราะชาวอิรักได้ช่วยกันดูแลพี่น้องปาเลสไตน์มาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เกิดวิกฤต และแล้วกองกำลัง บะดัรฺ ก็ได้ก่ออาชญากรรมต่อผู้อพยพปาเลสไตน์โดยมีมือที่สามคอยยุแหย่อยู่เบื้องหลัง” (ดุนยา อัล-วะฏ็อน วันที่ 28/2/2006)

    นี่เป็นหลักฐานชี้ว่า บะดัรฺ มีส่วนร่วมในอาชญากรรมครั้งนี้ หลังจากนั้นแค่เดือนเดียว ในแค้มป์บะละดียาต ซึ่งเป็นแค้มป์อพยพชาวปาเลสไตน์ที่ใหญ่ที่สุดในอิรัก มีผู้อพยพอยู่ประมาณหนึ่งหมื่นคน ก็มีเสียงพูดกันอื้ออึงว่า มีกลุ่มจากกองกำลังกระทรวงกิจการภายในของอิรักบุกเข้ามาข่มขู่ในแค้มป์ ในขณะที่ผู้แทนกงสุลปาเลสไตน์ในอิรักได้ย้ำว่ามีชาวปาเลสไตน์ 60 คน ถูกฆ่าตาย ด้วยข้ออ้างว่าพวกเขาเป็นกลุ่มที่สนับสนุนซัดดัม

    นอกจากนี้ยังมีใบปลิวจากฝ่ายที่ไม่ทราบตัวตน ขู่ให้ชาวปาเลสไตน์ออกไปจากแค้มป์ โดยมีข้อความว่า "ถึงไอ้พวกทรยศชาวปาเลสไตน์ วะฮาบีย์ ตักฟีรีย์ นะวาศิบ ซัดดามีย์ บะอฺษีย์ ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเขตชุอูน เมืองอัล-หุรรียะฮฺ ให้ทุกคนออกไปจากเขตนี้ภายในสิบวัน มิเช่นนั้น เราจะจัดการพวกแกให้สิ้นซาก” ข้อความลงชื่อ สะรอยา เยาม์ อัล-หิสาบ (อ้างจากหนังสือพิมพ์ อัช-ชัรกฺ อัล-เอาสัฏ วันที่ 27/3/2006) ความหวาดกลัวได้กระจายไปทั่ว ผลก็คือ 16 ครอบครัวชาวปาเลสไตน์ตัดสินใจหนีไปยังจอร์แดน และอีก 300 ครอบครัวต้องนั่งพื้นอยู่หน้าแค้มป์อพยพ ยอมแพ้ให้กับคำสั่งของกลุ่มชาตินิยมชีอะฮฺอย่างกองกำลังบะดัรฺและอื่นๆ (อ้างจากเว็บไซต์อัล-บัยยินะฮฺ)

    แปลและเรียบเรียงจาก

    http://alburhan.com/main/articles.aspx?article_no=2714

    والحمد لله رب العالمين، وصلى الله وسلم على نبينا محمد، وعلى آله وصحبه أجمعين.

    معلومات المادة باللغة الأصلية